HI-AI : Human Intelligence & Artificial Intelligence

Share

Loading

ในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ได้แสดงศักยภาพจาก AI รุ่นแรกเริ่มที่เป็นเพียงกลไกแก้ไขของระบบคอมพิวเตอร์ จนถึง AI ที่มีระบบปฏิบัติการซับซ้อน ใช้การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) จนเปลี่ยนวงการอุตสาหกรรมสายพานการผลิตให้เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยคลังข้อมูลดิจิทัล ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากลไกเหล่านี้ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันในทุกภาคส่วน ตั้งแต่การแพทย์ การคมนาคมขนส่ง การวางระบบสาธารณูปโภค และอีกมากมายที่เข้าสู่วงจร Digital Economy

มุมมองของ AI ในฐานะเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ สามารถพัฒนากลไกในระดับที่ก้าวกระโดด บริษัท McKinsey & Company เผยว่า AI จะสามารถทำเงินได้ถึง 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในร้านค้าออนไลน์ มีประสิทธิภาพมากขึ้น 50% ในระบบของธนาคาร รวมถึงสร้างรายได้มากกว่า 89% ในระบบขนส่งและการคมนาคม

แต่ถึงกระนั้น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เองก็ยังถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับตามความสามารถหรือความฉลาด  โดยวัดจากความสามารถในการให้เหตุผล การพูด และทัศนคติของ AI ตัวนั้นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์อย่างเราๆ โดยถูกจำแนกเป็น 3 ระดับตามความสามารถหรือความฉลาดดังนี้

  1. ปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบ หรือ ปัญญาประดิษฐ์แบบอ่อน คือ AI ที่มีความสามารถเฉพาะทางใดทางหนึ่งดีกว่ามนุษย์
  2. ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป คือ AI ที่มีความสามารถระดับเดียวกับมนุษย์ สามารถทำทุกๆอย่างที่มนุษย์ทำได้และได้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับมนุษย์
  3. ปัญญาประดิษฐ์แบบเข้ม คือ AI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ในหลายๆด้าน

เมื่อมอง AI ในฐานะแรงงานแห่งอนาคต จึงเกิดเป็นประเด็นต่อคำถามที่ว่า “AI จะมาแทนที่แรงงานคนหรือไม่ ?” หรือถ้าต้องใช้งาน AI จะมีวิธีการควบคุมหรือสร้างจริยธรรมให้กับสังคมปัญญาประดิษฐ์อย่างไร จึงเป็นที่มาของการหาทางออกเพื่อให้ AI อัจฉริยะและสมบูรณ์แบบมากที่สุด โดยทำให้ AI ตอบโจทย์การใช้งานของมนุษย์ จากการเรียนรู้เชิงลึกจากรากฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงบนเครือข่าย Blockchain แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาจัดอัลกอริทึมความรู้ในรูปแบบโมเดลหรือแพทเทิร์นสำหรับการหาคำตอบและการตัดสินใจในตรรกะและสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีจะแข็งแกร่งเพียงพอก็ต่อเมื่อกำจัดจุดอ่อนด้วยประสิทธิภาพทางความรู้ และหน้าที่สอนเทคโนโลยีให้รอบรู้นั่นคือ หน้าที่ของมนุษย์ โดยเรียกผู้กุมชะตาอนาคตเทคโนโลยีนี้ว่า HI-AI ซึ่งหมายถึงการผสานความอัจฉริยะของมนุษย์ (Human Intelligence) กับความฉลาดทางปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)

รายงานจาก Cognizant เผยว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีจำนวนบริษัทกว่า 70% ที่จะมีแรงงานคนและเครื่องมืออัจฉริยะทำงานด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมของเมืองที่ขับเคลื่อนกลไกด้วยปัญญาประดิษฐ์ถึง 82% ซึ่งนวัตกรรมที่เข้ามาขยายการทำงานนี้ คือระบบเครือข่าย 5G ที่มาพร้อมกับคุณภาพของดิสเพลย์แบบ 8K และระบบเสียงที่รวดเร็วนั่นเอง

ทำให้ในปี ค.ศ. 2020 นี้เอง ที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถนำ HI-AI มาใช้ได้จริง เนื่องจากคาดว่าการเริ่มเปิดระบบ 5G ที่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จะเข้ามาทำหน้าที่เสมือนกุญแจที่ปลดล็อกความสามารถของ HI-AI ทำให้การใช้งานระบบปฏิบัติการสามารถลื่นไหลขึ้นได้ด้วยคำสั่งเสียงแทนการกดคลิกหรือการสัมผัส ดังที่บริษัทผลิตสมาร์ทโฟนหลายค่ายนำปุ่มออกเพราะไม่ต้องใช้ประโยชน์จากการกดปุ่มอีกต่อไป

แหล่งอ้างอิง :

https://riverplus.com/tcdc-technology-trend/

https://businesslinx.globallinker.com