จำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อCOVID-19 มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ตรวจคัดกรองผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อรองรับผู้ป่วย รวมไปถึงห้องความดันลบตามโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ใช้ในการเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงก็มีจำนวนไม่เพียงพอ
“ตู้ความดันลบสำหรับเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19” เป็นนวัตกรรมจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้บุคลากรทางการแพทย์ในการเก็บสารคัดหลั่งต่างๆ จากคอหอยและโพรงจมูกของคนไข้มาตรวจ ซึ่งปกติเชื้อไวรัส COVID-19 จะแพร่กระจายทางฝอยละอองจากการพูด การจาม หรือการไอ มีระยะของการกระจายอยู่ที่ 1-2 เมตร ซึ่งวิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจสามารถกระตุ้นให้เกิดการฟุ้งกระจายของเชื้อโรคในอากาศได้ในระยะไกลและไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ ในขณะที่ห้องความดันลบที่ใช้ในการเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก และไม่สามารถทำได้ในทุกโรงพยาบาล
อ.นพ.พสุรเชษฐ์ สมร ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ในสถานการณ์การระบาดของCOVID-19 การเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยโดยบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความเสี่ยงน้อยที่สุดมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ตู้ความดันลบสำหรับใช้เก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อCOVID-19 ที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ พัฒนาขึ้นนี้เป็นตู้ความดันลบตามมาตรฐานของการเก็บสิ่งส่งตรวจ มีประสิทธิภาพในการป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อโรคให้อยู่แต่เฉพาะในตู้นี้เท่านั้น สามารถเคลื่อนย้ายเพื่อความสะดวกในการใช้งาน วัสดุที่ใช้ทำตู้เป็นอะคริลิกหนา 15 มิลลิเมตรซึ่งทนต่อน้ำยาฆ่าเชื้อ มีลักษณะใส สามารถมองเห็นได้จากภายนอก ภายในตู้มีเครื่องดูดอากาศผ่าน HEPA Filter เกรดที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ซึ่งสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กเท่าไวรัสได้ 99.995% โอกาสที่ไวรัสจะหลุดรอดจากฟิลเตอร์แทบจะเป็น 0% นอกจากนี้ยังมีการฆ่าเชื้อด้วยหลอด UV-C ทำให้ไวรัสหมดความสามารถ ในการก่อโรค เมื่อเทียบกับหน้ากาก N95 ที่สามารถกรองอนุภาคได้ขนาด 0.3 ไมครอน ตู้นี้จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสมากกว่า 1 พันเท่า
“ตู้นี้เป็นความร่วมมือของคณาจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์ และหน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โดยใช้วัสดุที่ผลิตและหาได้ง่ายในประเทศ เมื่อสถานการณ์วิกฤต COVID-19 คลี่คลายลง ก็ยังสามารถนำตู้นี้ไปใช้ในระยะยาวในการเก็บสิ่งส่งตรวจจากโรคทางด้านทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น วัณโรค ไข้หวัดใหญ่ ปัจจุบันเราประสบปัญหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ขาดแคลน ใครที่พอจะมีกำลังที่จะทำได้ก็ขอให้ช่วยกัน แต่ถ้าขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้ใช้งานจริงก่อนจะดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน” อ.นพ.พสุรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย
ขอขอบคุณแหล่งที่มา :