คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามเอ็มโอยู กับ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ร่วมมือจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านบริการทางการแพทย์ ที่รพ.ธนบุรี บำรุงเมืองเพื่อพัฒนาอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์เพื่อใช้ภายในโรงพยาบาลเครือ THG ก้าวสู่ Smart Hospital รับศักยภาพประเทศไทยเป็นเมดิคัลฮับของภูมิภาคหลังรับมือการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้ดี พร้อมร่วมกันวิจัยพัฒนานวัตกรรม Health Tech สู่การจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในอนาคต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางการแพทย์และสุขภาพแก่ประเทศ
นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีนโยบายนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ เข้ามาให้บริการเพื่อเพิ่มศักยภาพและยกระดับโรงพยาบาลเครือ THG สู่ Smart Hospital รับยุคดิจิทัลและศักยภาพประเทศไทยเป็นเมดิคัลฮับของภูมิภาคนี้ รวมถึงความต้องการใช้บริการทางการแพทย์จากชาวต่างชาติที่เป็นกลุ่มเฮลท์ทัวริสซึมหรือกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากประเทศไทยสามารถรับมือการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้ดีเป็นอับดับต้นๆ ของโลกและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำ ล่าสุด จึงลงนามความร่วมมือเอ็มโอยูกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดตั้ง ‘ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม Medical Services’ ที่ รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง เพื่อสนับสนุนการวิจัยพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ เพื่อนำมาใช้ในโรงพยาบาลเครือ THG และร่วมมือกันพัฒนา Health Tech สู่การจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในอนาคต ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนขีดความสามารถการแข่งขันในการแพทย์แก่ประเทศอีกด้วย
“เทรนด์ของโรงพยาบาลในอนาคตจะต้องพัฒนาสู่ Smart Hospital นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ต่างๆ เข้ามาใช้ เช่น ระบบ A.I., เพื่อยกระดับบริการให้ก้าวหน้าล้ำสมัยสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ช่วยให้คนไข้ที่อยู่ห่างไกลสามารถได้รับคำปรึกษาและเข้าถึงการรักษาได้ทันเวลา ขณะที่โรงพยาบาลสามารถให้บริการคนไข้ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นายแพทย์บุญ กล่าว
ดร.เจษฎา ธรรมวณิช Chief PPP บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG กล่าวว่า การนำนวัตกรรมเทคโนโลยีและอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงการนำหุ่นยนต์ผู้ช่วยบุคลากรทางแพทย์เข้าให้บริการในโรงพยาบาลเพื่อลดการสัมผัสคนไข้และแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ยังเพียงพอต่อความต้องการ
ปัจจุบัน THG ได้เพิ่มศักยภาพให้บริการแก่คนไข้ โดยนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง อาทิ ระบบทันตกรรมดิจิทัล สามารถทำรากฟันเทียมเสร็จภายใน 1 วันเท่านั้น, ศูนย์ตรวจสุขภาพ (Personalized Wellness Check-Up Center) ครบวงจรภายในที่เดียวและออกแบบโปรแกรมเช็กอัพที่เหมาะกับแต่ละบุคคล นอกจากนี้เตรียมนำหุ่นยนต์ผู้ช่วยบุคลากรทางแพทย์เข้ามาให้บริการภายใน รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง อีกด้วย
ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ของภูมิภาคนี้ เนื่องจากมีนักวิจัย นวัตกรและบุคคลากรการแพทย์ที่มีคุณภาพ และมีจุดแข็งด้านความสามารถให้บริการทางการแพทย์ที่โดดเด่น จากวิกฤติโควิด-19 ได้สะท้อนถึงศักยภาพและความสามารถรับมือการแพร่ระบาดและการรักษาคนไข้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพจนได้รับความชื่นชมและเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก
ทั้งนี้ ในปัจจุบันโรงพยาบาลต่างๆ มีความต้องการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อการดูแลรักษาสุขภาพ (Health Tech) และเป็นเทรนด์การพัฒนาที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ อาทิ ระบบ A.I. เพื่อวินิจฉัยและรักษาเบื้องต้นแก่คนไข้, ระบบ Telemedicine ที่สามารถเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลประวัติการรักษาเพื่อให้บริการแก่คนไข้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล, การพัฒนาแอปพลิเคชั่นเพื่อให้บริการแก่คนไข้ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ใหม่ๆ ยังมีความจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและต่อยอดสู่ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างประเทศที่มีองค์ความรู้และชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในตลาดเชิงพาณิชย์ ซึ่งการที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลได้รับการสนับสนุนจาก บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ร่วมกันจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม Medical Services จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
รองศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกและนำเข้าอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ในอาเซียน (ส่งออกเป็นอันดับ 3 และนำเข้าเป็นอันดับ 2) มูลค่าการส่งออกรวมของไทยปีละกว่า 107,700 ล้านบาท และนำเข้าปีละกว่า 66,500 ล้านบาท ภาพรวมของการส่งออกขยายตัวปีละเฉลี่ย 8-10% แม้ว่ากว่า 80% ของการส่งออกเครื่องมือแพทย์จะเป็นวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ แต่ไทยเราก็มีโอกาสอีกกว้างไกลที่จะเร่งพัฒนานวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีสูงได้อีกมาก อนาคตของเฮลท์แคร์และอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทย มีแนวโน้มสดใส เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทาง BOI ได้รายงานคำขอส่งเสริมการลงทุน 6 เดือนแรกปี 2563 รวม 754 โครงการ เป็นมูลค่าเงินลงทุน 158,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 174 ซี่งมาจากแผนงานส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ( Medical Hub)ที่เป็นรูปธรรม และมาตรการเร่งรัดการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์รองรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศไทยเราควรสร้าง “แบรนด์“ เครื่องมือทางการแพทย์ของตัวเอง เช่นเดียวกับ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและลดการนำเข้าเครื่องมือแพทย์
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมร่วมมือกับ THG ดำเนินการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการแก่คนไข้ และจะนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในอนาคต ซึ่งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพให้แก่ประเทศอีกด้วย
ทั้งนี้ ทางคณะวิศวะมหิดล ได้พัฒนางานวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพมาอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น หุ่นยนต์ผ่าตัดนำวิถี, ระบบหุ่นยนต์ผ่าตัดทางไกล ( Real -Time Tele Surgery) ซึ่งเป็นผลงานโดยฝีมือคนไทยครั้งแรกของประเทศไทย , หุ่นยนต์ช่วยเดินเพื่อฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต ( Exoskelton), หุ่นยนต์แพทย์อัจฉริยะ DoctoSight 1 และ 2 สำหรับการวินิจฉัยและรักษาผ่านระบบโทรเวช, นวัตกรรมระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อคลื่นสมอง (Brain-Computer Interface- BCI) สำหรับผู้พิการ เพียงแค่คิดก็สั่งงานได้, วีลแชร์ไฟฟ้าควบคุมด้วยสัญญาณสมอง, , ระบบฝึกการแพทย์ผ่าตัดนัยน์ตา (Eye Surgical Training System), ระบบฝึก Haptics VR การแพทย์ผ่าตัดเนื้องอกในสมอง, สารเคลือบนาโนป้องกันเชื้อโรค (NanoCoating), เครื่องกายภาพไจโรโรลเลอร์ (Gyro-Roller) สำหรับผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง, ไบโอเซนเซอร์ (Biosensor) อุปกรณ์ตรวจวัดทางชีวภาพ, หุ่นยนต์เอ.ไอ อิมมูไนเซอร์, หุ่นยนต์ “เวสตี้” เก็บขยะติดเชื้อในโรงพยาบาล ที่ใช้แถบแม่เหล็กนำทาง ยกถังขยะได้สูงสุดครั้งละ 5 กิโลกรัม, หุ่นยนต์ “ฟู้ดดี้” ส่งอาหารและยาแก่คนไข้ในหอผู้ป่วย ได้ประมาณ 200 คนต่อวัน เพื่อลดภาระงานหนักและความเสี่ยงบุคลากรทางการแพทย์ต่อการติดเชื้อ รวมถึงลดการนำเข้าอีกด้วย
ขอขอบคุณแหล่งที่มา :
BRAINASIA COMMUNICATION CO., LTD