อย่างที่เราทราบกันดีว่าสถานการณ์โควิดนั้นถือเป็นวิกฤตการณ์ของโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ก็ทำให้บางพื้นที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่บางพื้นที่การควบคุมสถานการณ์นั้นก็ช่างเป็นไปได้อย่างยากเย็น โดยปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการที่จะสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ ก็คือการที่ประชาชนให้ความร่วมมือ และเชื่อฟังคำสั่งหรือคำแนะนำของทางการ ไม่ว่าเป็นการกักตัวเอง การเว้นระยะห่าง การล้างมือ การสวมหน้ากากอนามัย เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นมาตรการพื้นฐานที่หลาย ๆ ประเทศนำไปประกาศใช้ แต่ทว่ากลับไม่ประสบความสำเร็จในบางประเทศ เนื่องจากประชาชนมีความเป็นตัวของตัวเองสูง และไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำต่าง ๆ ของทางการ
ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเป็นตัวช่วยโดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อสร้างความปลอดภัยในสถานการณ์โควิด ซึ่งขอยกตัวอย่างดังนี้
การควบคุมโรคด้วย AI จดจำใบหน้า
ในประเทศรัสเซียได้มีการออกมาตรการในการติดตามตัวผู้ต้องสงสัยที่มีความเสี่ยงในการติดต่อกับผู้ติดเชื่อ หรือผู้ที่ไม่ยอมกักตัวนั้นเอง โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะถูกกักตัวอยู่ที่โรงพยาบาลคอมมูนาร์ก้า (Kommunarka Hospital) ในกรุงมอสโกว แต่ในบางครั้งก็เกิดปัญหาที่ผู้ติดเชื้อบางคน หรือผู้ที่คลุกคลีกับผู้ติดเชื้อบางราย พยายามที่จะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งหากหลบหนีไปได้ก็มีโอกาสที่จะไปแพร่กระจายเชื้อได้ในวงกว้าง
ด้วยเหตุนี้ทางเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยได้ใช้เทคโนโลยีระบบจดจำใบหน้าในการที่จะต้องรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ โดยได้ติดตั้งกล้องกว่า 10,000 ตัว ทั่วเมืองมอสโกว ซึ่งไม่มีทางที่ผู้หลบหนีจะเล็ดรอดออกไปได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่า “ในช่วยระยะเวลาที่ผ่านมา ระบบตรวจจับใบหน้าซึ่งทำงานเชื่อต่อกับกล้องวงจรปิดของเมือง สามารถที่จะชี้ตัวผู้ฝ่าฝืนการกักกันได้มากกว่า 200 คน”
นอกจากนี้เทคโนโลยีดังกล่าวถือเป็นเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำสูง เพราะโอกาสผิดพลาดมีเพียง 1 ใน 15 ล้านเท่านั้น โดยถือเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่เหมาะสำหรับประเทศที่มีจำนวนประชากรจำนวนมาก โดยเทคโนโลยีนี้ยังถูกส่งไปประเทศจีน และกลุ่มประเทศในแถบลาตินอเมริกาอีกด้วย
แต่ทั้งนี้ก็มีการประเมินว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนั้นใช้ได้ดีสำหรับประเทศที่กฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้มีความเคร่งครัดมากนัก แต่สำหรับประเทศในกลุ่มยุโรป อาจจะไม่สามารถนำเอาเทคโนโลยีนี้ไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ล้างมือให้ถูกสุขลักษณะด้วยการตรวจสอบของ AI
อย่างที่เราทราบกันดีว่ามาตรการที่สำคัญอย่างหนึ่งในการรับมือกับเชื้อโควิด-19 ก็คือการล้างมือให้ถูกต้องตามสุขลักษณะ ซึ่งรูปแบบวิธีการนั้นก็เป็นไปตามคำแนะนำของ WHO หรือ องค์การอนามัยโลก ที่จะต้องเป็นการล้างมือแบบทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่ข้อมือไล่ไปจนถึงปลายนิ้ว โดยจะต้องมีการใช้สบู่ฆ่าเชื้อ ซึ่งหากเราไม่สามารถล้างมือให้สะอาดหมดจดก็มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ได้
จึงเป็นที่มาของการนำเอาเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในเรื่องนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีอาชีพให้บริการต่าง ๆ ที่จะต้องใส่ใจกับความสะอาดของมือเป็นพิเศษ ซึ่ง บริษัท ฟูจิสึ ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่สำหรับตรวจสอบการล้างมือ โดยมีการวางกลุ่มเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับนำไปใช้ในกลุ่มอาชีพบริการต่าง ๆ ที่ต้องใกล้ชิดกับลูกค้า
ซึ่งวิธีการทำงานของเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ จะเป็นการตรวจจับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในการล้างมือ โดยมีการกำหนดว่าจะต้องเป็นไปตาม 6 ขั้นตอนที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ คือตั้งแต่ล้างน้ำ ใช้สบู่ ถูหัวแม่มือ ระหว่างซอกนิ้ว ข้อมือ และทำความสะอาดเล็บ
โดยกว่าจะได้นวัตกรรมชิ้นนี้มา ก็ต้องสอนให้ AI รู้จักและจดจำขั้นตอนการล้างมือที่ถูกต้อง โดยต้องป้อนข้อมูลจากคนถึง 2,000 คนที่มาสาธิตเพื่อให้ AI จดจำขั้นตอนนี้ได้
หน้ากากอัจฉริยะ
หน้ากากถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างหนึ่งในการที่เราจะควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนใส่หน้ากาก โดยบริษัท Donut Robotics สตาร์ทอัพของญี่ปุ่นได้เกิดไอเดียในการผลิตหน้าการอัจฉริยะที่มีความสามารถในการแปลภาษาได้ถึง 8 ภาษา ซึ่งนวัตกรรมชิ้นนี้นอกจากจะช่วยป้องกันการแพร่เชื้อโควิท-19 แล้ว ยังอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการทลายกำแพงแห่งภาษา ซึ่งไม่แน่ว่าในอนาคตทุกคนบนโลกนี้อาจจะสามารถพูดคุยกันได้ดั่งใจนึก
โดยหน้ากากอนามัยนี้ถูกออกแบบเพื่อสวมทักทับหน้ากากอนามัยอีกที ซึ่งตัวหน้ากากทำมาจากวัสดุพลาสติกและซิลิโคนโดยได้มีการฝังไมโครโฟนขนาดเล็กไว้ด้านใน ซึ่งไมโครโฟนนี้จะถูกเชื่อมต่อระบบเข้ากับสมาร์ทโฟนที่มีโปรแกรมสำหรับแปลภาษาได้ 8 ภาษาคือ ภาษาญี่ปุ่น, จีน, เกาหลี, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, อังกฤษ, สเปน และฝรั่งเศส และเมื่อใช้งานร่วมกันก็จะสามารถถอดข้อความเสียงออกมาเป็นภาษาต่าง ๆ ได้
บทสรุป
นี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการที่เรานำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งเราสามารถที่จะตั้งข้อสังเกตได้ว่า ในช่วงสถานการณ์โควิดนั้นถือเป็นช่วงที่เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ได้อย่างก้าวกระโดด ตลอดจนวิถีชีวิตของผู้คนถูกผลักดันให้ต้องปรับตัวไปให้สอดคล้องกับสถานการณ์โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้ชีวิต แม้จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม
แต่ทั้งนี้เราก็สามารถตั้งข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากมายสักแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าหากคนในประเทศไม่ให้ความร่วมมือ และขาดการตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสังคมในวงกว้าง การมีเทคโนโลยีที่ดีอย่างเดียวนั้นก็ไม่เพียงพอที่จะควบคุมการแพร่ระบาดได้ แต่ในทางตรงกันข้าม สำหรับประเทศที่อาจจะไม่มีนวัตกรรมที่ทรงประสิทธิภาพมากนัก แต่ทว่าประชาชนในประเทศมีความสำนึกต่อส่วนรวม และให้ความร่วมมือโดยปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการอย่างจริงจัง ก็จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดได้อย่างมีประสบความสำเร็จ
เรียบเรียงโดย Security Systems Magazine
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
www.reuters.com
www.thairath.co.th
www.bangkokpost.com
เครดิตรูปภาพ
https://www.donutrobotics.com