รับโควิดพ่นพิษ รายได้ร่วง เร่งปรับแผนรักษาผู้นำเบอร์ 1
“ไปรษณีย์ไทย” รับโควิดพ่นพิษฉุดรายได้ร่วง จากบริการจากต่างประเทศ จำต้องหั่นงบลงทุนระยะยาว 50% พร้อมรีวิวผลประกอบการปีนี้ใหม่ทั้งหมด เผยงบครึ่งปีแรกทำรายได้รวม 12,937 ล้านบาท กำไรเฉียด 900 ล้าน ครองเบอร์ 1 ในธุรกิจ ครองส่วนแบ่งตลาด 58% เล็งรุกบริการดิจิทัลหวังสร้างความหลากหลายคู่ขยายฐานลูกค้าไปกับพาร์ทเนอร์
นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า รายได้ครึ่งปีของบริษัทระหว่าง เดือนม.ค.-มิ.ย.อยู่ที่ 12,937.57 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 864.99 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่า ปณท ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ต แชร์) เป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 58.3% แต่ด้วยยอดส่งไปรษณีย์ต่างประเทศ ลดลงกว่า 100 ล้านบาท และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ปีนี้ ปณท จำเป็นต้องปรับประมาณการผลประกอบการลง จากที่เคยตั้งไว้ก่อนหน้ามีโควิด-19 อยู่ที่ 27,495 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 1.25% จากปีที่ผ่านมา และคาดการณ์กำไรสุทธิ 1,620 ล้านบาท
โดยเป็นผลทำให้รายได้ปีนี้ อาจได้รับผลกระทบ ปณท จึงต้องลดการลงทุนในสิ่งที่ยังไม่เร่งด่วน เช่น จากเดิมต้องขยายสาขา ก็หันมาเน้นปรับปรุงสาขาเก่าแทนการสร้างใหม่ และสร้างใหม่เฉพาะในพื้นที่ที่จำเป็นจริง โดยอาจเปลี่ยนรูปแบบเป็นการเช่า แทนการสร้างเอง เป็นต้น คาดว่า จะลดเงินลงทุนปีนี้ 50% จากที่คาดการณ์ว่าจะลงทุน 3,000-4,000 ล้านบาท
“จากนี้ไปเราจะเน้นทำงานร่วมกับพันธมิตรแทนการเขียนสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งต้องมีกระบวนการนาน โดยเร็วๆ นี้ จะมีโครงการสร้างตู้ฝากเอกสารชาญฉลาด ในลักษณะคล้ายกับตู้ i-box เพื่อให้ลูกค้าสามารถมารับเอกสารในตู้ได้แทนการเดินทางไปรับที่ทำการปณ. เช่น สามารถเก็บยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการทำงานร่วมกับองค์การเภสัชกรรม เป็นต้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างสัญญาจ้างที่ปรึกษา คาดว่าจะได้บริษัทที่ปรึกษาภายในก.ย. นี้ เพื่อทำหน้าที่วางแผนการบริหารจัดการโครงการให้มีตู้ดังกล่าว 30,000 ตู้ใน 3 ปี คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในกลางปีหน้า”
นอกจากนี้ กำลังจะมีโครงการร่วมกับธนาคารกรุงไทย ในการเป็นตัวกลางเพื่อรับชำระค่าภาษีโรงเรือนให้กับประชาชนแทนการเดินทางไปชำระเองที่สำนักงานเขต รวมถึงจะมีการเป็นตัวแทนจำหน่ายโปรแกรมออฟฟิศ 365 ของไมโครซอฟท์ เพื่อให้องค์การบริหารส่วนตำบล สามารถหาซื้อโปรแกรมได้สะดวกกว่าการตั้งงบประมาณในการจัดซื้อ จัดจ้างเอง
นายก่อกิจ กล่าวว่า นโยบายการดำเนินงานในอนาคตของไปรษณีย์ไทยจะพัฒนากลุ่มธุรกิจ ที่เคยเป็นฐานรายได้หลัก คือ กลุ่มธุรกิจไปรษณียภัณฑ์ดั้งเดิมประเภทจดหมายไปสู่รูปแบบดิจิทัล โดยจะพัฒนาระบบการจัดการด้านเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจรให้กับภาครัฐภาคธุรกิจ และภาคประชาชนให้มีความปลอดภัย เป็นมาตรฐานเดียวกันได้รับการยอมรับในเชิงกฎหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต ถือเป็นการปรับโฉมบริการดั้งเดิมให้เป็นบริการรูปแบบใหม่รักษาฐานรายได้เดิมเอาไว้ ควบคู่ไปกับการสร้างฐานรายได้ใหม่
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินการครึ่งปีแรก หากแยกเป็นประเภทของรายได้ จะพบว่า กลุ่มบริการขนส่งและโลจิสติกส์มีรายได้ 6,864.99 ล้านบาท คิดเป็น 53.2% รองลงมา คือ กลุ่มบริการไปรษณีย์ภัณฑ์อยู่ที่ 29.7% คิดเป็น 3,823.27 ล้านบาท ตามด้วยกลุ่มบริการระหว่างประเทศมีรายได้ 1,204.41 ล้านบาทคิดเป็น 9.3% กลุ่มบริการค้าปลีก 460.55 ล้านบาท คิดเป็น 3.6% กลุ่มบริการด้านการเงิน 297.16 ล้านบาท คิดเป็น 2.3% ที่เหลือเป็นกลุ่มบริการอื่นๆ ดังนั้น ไปรษณีย์ก็ยังคงเน้นบริการเหล่านี้ให้มีคุณภาพควบคู่กับบริการดิจิทัลในอนาคต
นอกจากนี้ ในวาระครบรอบ 137 ปี ไปรษณีย์ไทยได้เปิดตัวโครงการ “ไปรษณีย์ reBOX ” ร่วมกับ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) รวบรวมซองกระดาษและกล่องพัสดุที่ไม่สามารถใช้ได้แล้วเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้ เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษาส่งมอบให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โดยผู้ี่สนใจสามารถรวบรวมซองกระดาษและกล่องพัสดุฯ มาส่งได้ที่ไปรษณีย์ไทยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลไปรษณีย์จังหวัดและศูนย์ไปรษณีย์รวมทั้งสิ้น 141 แห่งตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค.-31 ต.ค.นี้
ขอขอบคุณแหล่งที่มา :