2563 เป็นปีแห่งความตื่นตระหนก ปีแห่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พลิกโฉมทั้งวิธีทำงานและการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อรองรับความปกติใหม่ (New normal) แต่เมื่อเราก้าวข้ามมาในปี 2564 ได้แล้ว ถามว่ากลยุทธ์ทางธุรกิจควรเป็นอย่างไร ควรคำนึงถึงเรื่องใดบ้าง มีสองอย่างที่ต้องยืนพื้นซึ่งเราให้ความสำคัญมาก นั่นคือ ‘ความยืดหยุ่น’ และ ‘ความสามารถในการปรับตัวได้’
การเร่งความพร้อมทางดิจิทัลจะยังคงดำเนินต่อไปเพื่อกำหนดรูปแบบทางเทคโนโลยีและธุรกิจในปี 2564 นูทานิคซ์ ได้คาดการณ์เทรนด์สำคัญที่จะมีอิทธิพลต่อรูปแบบทางธุรกิจและเทคโนโลยีในอีก 12 เดือนข้างหน้า เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ เตรียมการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1. กลยุทธ์ที่จะใช้ต้องมีความยืดหยุ่น – สร้างความคล่องตัว
เนื่องจากองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนต่างต้องมีการทบทวนปรับปรุงกลยุทธ์บ่อยขึ้นตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งยังต้องรับมือกับการกลับมาเติบโตที่มีการคาดการณ์ไว้
การที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคและทั่วโลกเริ่มมองสิ่งต่างๆ ไปไกลกว่าเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว การกลับเข้าทำงานในสถานที่ทำงานอย่างช้าๆ แต่จะเป็นการฟื้นตัวแบบไม่คงเส้นคงวา
ประเทศและเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก-ญี่ปุ่น และที่ห่างไกลออกไปมีความเชื่อมโยงถึงกันอย่างเหนียวแน่น แม้ว่าการฟื้นตัวของประเทศหนึ่งอาจเป็นไปด้วยดี แต่ทั่วโลกจะยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่จนกว่าผู้ที่มีบทบาทสำคัญในระดับนานาชาติจะกลับมายืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง
ความท้าทายที่กล่าวข้างต้นจะทำให้การเติบโตที่จะกลับมาเป็นแบบกระจัดกระจาย และเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ องค์กรจะต้องมีความคล่องตัวที่ช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ และการใช้จ่ายต่างๆ ขององค์กรได้ถี่ขึ้น (เช่นเป็นรายไตรมาส) เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ในระดับมหภาคได้ ความต้องการในการใช้ไอทีแบบเดิมๆ ที่ใช้เงินลงทุนมากจะแทนที่ด้วย ความคล่องตัวของระบบการผลิตและส่งสินค้าหรือบริการสู่ท้องตลาดได้ทันเวลาและในจำนวนที่ต้องการพอดี (just-in-time: JIT)
วิธีการของเทคโนโลยีแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำให้เกิดความคล่องตัวในลักษณะนี้ได้ องค์กรขนาดใหญ่และภาครัฐจึงใช้รูปแบบ Subscription models มากกว่าที่จะทำสัญญาระยะยาวผูกมัดกับผู้ขายเทคโนโลยี ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนและสร้างสิ่งใหม่ๆ ได้หากต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน รูปแบบการซื้อตามการใช้งาน (pay-as-you-grow) ซึ่งส่งเสริมกลยุทธ์ “fail fast” ล้มเร็ว ลุกไว ลุกแล้วสร้างนวัตกรรมที่จำเป็นขึ้้นมาใหม่ได้
2. การพาองค์กรไปสู่ดิจิทัล ไม่ใช่บทบาทหน้าที่ของกรรมการผู้จัดการฝ่ายสารสนเทศ (CIO) เพียงผู้เดียว แต่เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดของผู้บริหารทุกฝ่าย
ไม่ว่าประเทศหรือองค์กรจะ(เคย)ล้าหลังแค่ไหนก่อนเกิดโควิด-19 แต่ประเทศหรือองค์กรเหล่านั้นจำเป็นต้องผลักดันการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของตนเองในอีก 12 เดือนข้างหน้า
องค์กรทุกแห่งจะทบทวนรูปแบบการทำงานใหม่ ไม่ว่าเมื่อก่อนเราเคยทำสิ่งต่างๆ มาอย่างไร แต่สภาพแวดล้อมของเรากับความคาดหวังของผู้คนได้เปลี่ยนไปแล้ว และเพื่อให้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ แม้แต่องค์กรที่มีความอ่อนไหวง่ายที่สุดก็จำเป็นต้องมีความคล่องตัว ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นแล้วในประเทศญี่ปุ่นที่ได้ก้าวไกลไปถึงระดับที่มีคำสั่งให้เพิ่มการทำ digitization ในหน่วยงานสำคัญของภาครัฐทุกแห่ง เพื่อให้ข้อมูลทุกอย่างอยู่ในรูปแบบดิจิทัล
ในประเทศไทย พระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โดยมีศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกลางภาครัฐ หรือ Government Data Exchange (GDX) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการทำ digitization
และเมื่อเร็วๆ นี้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แถลงความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกันผลักดันการพัฒนาระบบการตรวจสอบการใช้เงินแผ่นดิน รวมถึงการนำส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบจากกระดาษสู่ดิจิทัลภายใต้ธีม ปี 64 ถึงทีบอกลา “กระดาษ”
ก่อนหน้านี้การทำ digitization เป็นงานสำคัญอันดับต้นๆ ของ CIO แต่ไม่ได้รับความสนใจในระดับเดียวกันจาก CEO หรือผู้บริหารฝ่ายอื่นๆ แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และในที่สุดแล้ว พลังของดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นก็ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วนของธุรกิจ และจะยังคงเป็นหนึ่งในความสำคัญสูงสุดตลอดปี 2564 ซึ่งความสามารถทางดิจิทัลในระดับที่เหมาะสมจะยังคงความสำคัญต่อความคล่องตัวและความอยู่รอดของธุรกิจ
ดังนั้น CIO จะมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นในการตัดสินใจและความเป็นผู้นำทางธุรกิจ เนื่องจากการลงทุนด้านเทคโนโลยีของ CIO ได้รับการพิสูจน์อย่างชัดแจ้งแล้วว่ามีคุณค่ามาก การปรับเปลี่ยนระบบไอทีจากการเป็นจุดรวมของค่าใช้จ่ายให้กลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจจะเกิดเร็วขึ้น องค์กรธุรกิจทุกแห่งในปัจจุบันเป็นธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเรื่องปกติไปแล้ว โดยที่องค์กรอาจจะยังไม่รู้ตัว
3. ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จะถูกหยิบยกมาถกกันอีกครั้ง และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในการหาแนวทางแก้ไขเรื่องนี้
หากไม่มีโควิด-19 เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นประเด็นร้อนของโลกในปี 2563 ที่ผ่านมา และหลังจากที่ได้รับการผลักดันให้เป็นวาระระดับโลกในปี 2563 แล้ว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะกลับมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้งในปี 2564
นอกจากเรื่องการเมือง ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นประเด็นสำคัญอย่างแท้จริงและจำเป็นต้องหาทางออก โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่ออุตสาหกรรมต่างๆ เช่น แหล่งทรัพยากร การขนส่ง การเกษตร ในขณะที่บริษัทต่างๆ ยังคงจัดทำและเร่งเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล บริษัทเหล่านี้จำเป็นต้องทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชั่นโดยต้องคำนึงถึงมุมมองด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย
ตัวอย่าง ธุรกิจที่มีการกระจายตัวไปในพื้นที่ต่างๆ จะต้องการความยืดหยุ่นในการทำงานเพิ่มขึ้น เหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น จะกระทบต่อระบบซัพพลายเชน และโรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยง แต่เทคโนโลยีช่วยให้เกิดแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพเมื่อต้องเผชิญกับความกังวลที่กล่าวมาได้ อย่างเอดจ์คอมพิวติ้ง, IoT ช่วยในด้านการนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต การเกษตร ติดตามการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในสถานการณ์จริง และปรับแต่งให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มผลผลิต ลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการสายการผลิตทำได้ดีขึ้น
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้ จะนำพาอเมริกากลับเข้ามาเป็นพันธมิตรและเป็นแรงผลักดันสำคัญในการจัดการกับสภาพภูมิอากาศที่มาพร้อมเสียงตอบรับจากทั่วโลก
4. เมื่อความตระหนักในประโยชน์ของคลาวด์และการนำไปใช้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง CIO จะยืนหยัดใช้กลยุทธไฮบริดและมัลติ-คลาวด์
บริษัทหลายแห่งในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นที่ต้องการมุ่งสู่คลาวด์เป็นรายแรกๆ กำลังจับคู่ทำงานร่วมกับบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตระหนักมาหลายปีแล้วว่า แอปพลิเคชั่นหลายๆ ตัวที่มีความสำคัญมากต่อการดำเนินธุรกิจ ไม่เหมาะที่จะทำงานอยู่บนพับลิกคลาวด์
บริษัทต่างๆ ต้องการความสามารถเสมือนคลาวด์ (cloud-like) แต่จำเป็นต้องมีทางเลือกและความยืดหยุ่น ไม่มีบริษัทใดต้องการจะล็อกตัวเองไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ดังนั้น CIO ทั้งหลายจะเริ่มยืนยันให้ใช้กลยุทธ์ไฮบริดและมัลติ-คลาวด์ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ยืนกรานให้มีการรับประกันว่าจะสามารถเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชั่นได้
เราได้เห็นองค์กรจำนวนมากทั่วโลกเริ่มปรับแอปพลิเคชั่นของตนให้ทันสมัยและเปลี่ยนไปใช้ กลยุทธ์ “cloud first” และมักจะเจอทางตันเมื่อพวกเขาพบว่าแอปพลิเคชั่นหลัก ไม่สามารถโยกย้ายหรือปรับเปลี่ยนเป็นโมเดลที่ใช้กับคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างภาระค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรในภายหลัง กลยุทธ์ไฮบริดและมัลติ-คลาวด์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้เพื่อสร้างสมดุลให้กับความคล่องตัวของคลาวด์ และการประหยัดค่าใช้จ่ายที่มาพร้อมกับสภาพความต้องการจริงซึ่งจะนำไปสู่การดำเนินงานอย่างยั่งยืน
สอดคล้องกับผลสำรวจ Nutanix Enterprise Cloud Index 2020 ในส่วนของประเทศไทยระบุว่า
- 76% ของผู้ตอบแบบสำรวจ เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าการใช้ไฮบริดคลาวด์ ซึ่งคือการผสมผสานกันของการใช้พับลิคและไพรเวทคลาวด์/ดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นรูปแบบการใช้งานที่เหมาะสม
- 67% ของผู้ตอบแบบสำรวจ คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีนับจากนี้จะใช้ไฮบริดคลาวด์เท่านั้น
- 82% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ระบุว่าโควิด-19 ทำให้มีการใช้ไอทีในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น โดย 68% เพิ่มการลงทุนในพับลิคคลาวด์ (เทียบกับผลสำรวจทั่วโลกที่ 47%) และ 56% เพิ่มการลงทุนในไพรเวทคลาวด์ (เทียบกับผลสำรวจทั่วโลกที่ 37%)
ข้อมูลจาก The Cloud Readiness Index (CRI) 2020 โดย Asia Cloud Computing Association (ACCA) ระบุความพร้อมการใช้คลาวด์ของประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 9
นอกจากนี้ กลยุทธ์ไฮบริดและมัลติ-คลาวด์ยังช่วยให้ธุรกิจมีความคล่องตัว สามารถปรับแนวทางการทำงานได้แบบฉับไว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการมองล่วงหน้าไปในอนาคต องค์กรต่างๆ จะเรียนรู้ในการใช้มุมมองระยะยาวและหลีกเลี่ยงที่จะถูกล็อกอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งอาจใช้ไม่ได้ผลในอีก 3-6 เดือนถัดไป หากอยู่ๆ โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
สรุปแล้ว หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นในปี 2563 แล้วองค์กรจะนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์ปี 2564 สิ่งนั้นคือ การเปลี่ยนแปลงทั้งระดับมหภาคและจุลภาคเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะทวีความซับซ้อนยุ่งเหยิงมากขึ้น ดังนั้น ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวได้จะเป็นแนวคิดหลักของการดำเนินธุรกิจ
แหล่งข้อมูล
https://www.salika.co/2021/01/06/tech-and-business-trends-2021-prediction/