พอพูดถึงเครื่องมือในการวิเคราะห์ทางธุรกิจ เครื่องมือแรกที่หลาย ๆ คนนึกถึงคงเป็น SWOT Analysis ที่ใช้วิเคราะห์หา จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค เพื่อให้เข้าใจตำแหน่งในการทำธุรกิจของตัวเองมากขึ้น
แต่สำหรับนักการตลาดที่กำลังจะวางแผนในการออกกลยุทธ์เพื่อเปิดตัวหรือนำเสนอสินค้าใหม่ อีกหนึ่งวิธีที่หลายคนนิยมใช้ คือการวิเคราะห์แบบ PESTEL
PESTEL คือเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ สภาพแวดล้อม หรือปัจจัยภายนอกแบบมหภาค โดยคำนึงถึงปัจจัยภายนอกทั้งหมด 6 ปัจจัย ได้แก่
– การเมือง (Politics)
– เศรษฐศาสตร์ (Economics)
– สังคม (Social)
– เทคโนโลยี (Technological)
– สิ่งแวดล้อม (Environmental)
– กฎหมาย (Legal)
แล้ว PESTEL ช่วยในการวางแผนธุรกิจได้อย่างไร ?
เราลองมาดูวิธีการวิเคราะห์โดยใช้หลักของ PESTEL กัน
1 Politics หรือ การเมือง
การเมืองในที่นี้หมายถึง การเคลื่อนไหวของรัฐบาล อย่างเช่น การออกนโยบายต่าง ๆ ซึ่งนโยบายเหล่านี้ จะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจโดยตรง เช่น การออกเกณฑ์ภาษีแบบใหม่ของรัฐบาล ซึ่งกระทบกับโครงสร้างรายได้และการทำกำไรของบริษัท
ดังนั้น ในการวิเคราะห์ปัจจัยด้านการเมือง คำถามสำคัญที่เราจะต้องถามให้ถูกจุดก็คือ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเป็นอย่างไร และสถานการณ์เหล่านั้นจะกระทบกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างไร เพื่อให้สามารถวางกลยุทธ์ได้ถูกต้อง
2 Economics หรือ เศรษฐศาสตร์
ปัจจัยทางด้านเศรษฐศาสตร์นั้น เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางในการออกนโยบายทางการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ย รวมไปถึงอัตราแลกเปลี่ยน หรือนโยบายการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้นั้นมีผลกับการดำเนินธุรกิจค่อนข้างมาก
อย่างเช่น หากรัฐบาลมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลดลง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบกับ อำนาจในการซื้อสินค้าของผู้บริโภค และความต้องการสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น คำถามสำคัญที่เราต้องคำนึงถึงคือ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจในปัจจุบันมีอะไรบ้างนั่นเอง
3 Social หรือ สังคม
สังคมในที่นี้หมายถึงสภาพแวดล้อมทางสังคมในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระแสสังคม วัฒนธรรมของประเทศ การกระจายรายได้ รวมไปถึง ปัจจัยด้านตัวเลขประชากร
ตัวอย่างปัจจัยด้านสังคมที่เราอาจเห็นได้ชัดคือ ในประเทศแถบตะวันตกที่จะมีการจับจ่ายมากเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
ดังนั้น ก่อนที่เราจะออกสินค้าใหม่ ๆ เราควรพิจารณาด้วยว่า วัฒนธรรมในประเทศนั้น มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อมากแค่ไหน แล้วมีอะไรเป็นตัวชี้วัด
4 Technological หรือ เทคโนโลยี
ก่อนที่เราจะออกสินค้าใหม่ หรือการออกกลยุทธ์ต่าง ๆ เราต้องคำนึงด้วยว่าในเวลานั้น มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นบ้าง มีนวัตกรรมอะไรที่มีโอกาสเข้ามาเปลี่ยนแปลง หรือลบล้างเทคโนโลยีเดิมบ้างในเวลานี้
อย่างในกรณีนี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การเข้ามาของสตรีมมิงภาพยนตร์อย่าง Netflix ที่เข้ามาดิสรัปต์อุตสาหกรรมการเช่าแผ่น DVD
ดังนั้นในเรื่องนี้ สิ่งที่เราในฐานะบริษัททำได้ก็คือการเรียนรู้ที่จะรู้จักปรับตัวตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านั้นให้ทัน
5 Environmental หรือ สิ่งแวดล้อม
ในปัจจุบันคนกำลังให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แม้แต่ทางภาครัฐในหลาย ๆ ประเทศก็เริ่มมีมาตรการสำหรับธุรกิจที่สร้างมลพิษ หรือทำลายสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ธุรกิจที่ช่วยลดมลพิษหรือช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมก็จะได้รับสิ่งตอบแทนเช่นกัน
ดังนั้นเราต้องมาดูว่า เรื่องไหนที่ผู้บริโภคกำลังกังวล หรือให้ความสำคัญในเวลานั้น หากเรานำมาปรับปรุงหรือแก้ไขในจุดนั้น ก็จะช่วยให้บริษัทมีโอกาสเติบโตมากขึ้น
โดยปัจจัยที่เราต้องคำนึงในการวิเคราะห์ด้านสิ่งแวดล้อมก็เช่น กฎหมายทางด้านการกำจัดขยะ กฎระเบียบด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และทัศนคติของคนที่มีต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เห็นถึงขอบเขต และแนวทางในการทำธุรกิจที่ชัดเจนมากขึ้น
6 Legal หรือ กฎหมาย
ในการดำเนินธุรกิจมักจะมีกฎหมายที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปตามกฎระเบียบที่ถูกต้อง เช่น กฎหมายแรงงาน กฎหมายเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
ทั้งหมดนี้ ก็คือการวิเคราะห์ในแบบ PESTEL ซึ่งถือว่าเป็นการวิเคราะห์ที่สำคัญและค่อนข้างจำเป็น ก่อนที่บริษัทจะออกกลยุทธ์ ในงานโปรเจกต์หนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีนักวิชาการหลายคนที่นำหลักของ PESTEL มาปรับใช้ หรืออาจเพิ่มเติมปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เข้ามา อย่างเช่น โมเดล PESTELE ที่มีการเพิ่มปัจจัยในเรื่อง Ethics หรือจรรยาบรรณในการทำธุรกิจเข้ามาด้วย เพื่อให้การวิเคราะห์นั้นครอบคลุม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แหล่งข้อมูล
https://www.facebook.com/114640760447412/posts/382214267023392/