วิธีกำจัดวัชพืชที่ใช้กันโดยทั่วไปในปัจจุบัน คือ การพ่นสารกำจัดวัชพืชหรือยาฆ่าหญ้าไปทุกพื้นที่ ทำทั้งก่อนการปลูกพืชและหลังการเก็บเกี่ยว เป็นวิธีการที่สิ้นเปลืองและสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
Greeneye Technology สตาร์ตอัพจากอิสราเอลได้นำ AI มาปฏิวัติกระบวนการควบคุมวัชพืชในการเกษตร แทนที่จะฉีดพ่นอย่างสิ้นเปลืองไปทุกพื้นที่ เปลี่ยนเป็นการฉีดพ่นที่แม่นยำเฉพาะตำแหน่งที่มีปัญหาเท่านั้น เรียกว่าระบบ Selective Spraying หรือการฉีดพ่นแบบเลือกสรร หัวฉีดกับปัญญาประดิษฐ์ทำงานประสานกันได้อย่างไร้รอยต่อ ฉีดเฉพาะตำแหน่งที่มีปัญหา และในเวลาที่มีความจำเป็นเท่านั้น
ความแม่นยำของระบบในการตรวจจับวัชพืชของ AI มีมากถึง 95.7% เมื่อเทียบกับจำนวนสารกำจัดวัชพืช 100% ด้วยวิธีเก่า กับวิธีการใหม่จากผลการทดสอบจริง เหลือจำนวนสารเคมีที่ต้องใช้จริงเพียง 22% และได้ผลผลิตดีกว่าเดิมด้วย นอกจากรู้ว่าวัชพืชอยู่ที่ไหน AI รู้ด้วยว่าเป็นวัชพืชชนิดไหน เป็นสายพันธุ์อะไร รู้ว่ามันต้านทานกับสารกำจัดวัชพืชชนิดใด และสามารถเลือกใช้ยาที่กำจัดวัชพืชนั้นได้ดีโดยตรง
เบื้องหลังการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ คือ การป้อนข้อมูลภาพวัชพืชให้ AI ได้เรียนรู้ว่า มันมีหน้าตาอย่างไรบ้าง แบบไหนถึงเป็นอันตราย เมื่อมันตรวจจับภาพในพื้นจริงแล้วเทียบกับฐานข้อมูลที่มีอยู่ มันบอกได้ทันทีว่าสิ่งที่เห็นเป็นวัชพืชหรือไม่ ถ้าใช่ มันก็จะทำงานประสานกับหัวฉีดและพ่นยาไปตำแหน่งนั้นโดยตรง รถเคลื่อนที่พร้อมด้วยการฉีดยากำจัดวัชพืช วิ่งได้ด้วยความเร็ว 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบออกแบบให้สามารถทำงานร่วมกับแบรนด์หรือขนาดของเครื่องพ่นสารเคมีเชิงพาณิชย์ได้อย่างราบรื่น เกษตรกรไม่จำเป็นต้องลงทุนกับเครื่องจักรใหม่ๆที่มีต้นทุนแพง
วิธีการกำจัดวัชพืชแบบเก่าสร้างความเสียหายหลายด้าน ทำให้ต้องใช้สารเคมีจำนวนมาก มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผลผลิตที่จะนำมาบริโภคมีส่วนผสมของสารเคมีมากเกินความจำเป็น เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพมนุษย์ AI ในปัจจุบัน กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีใช้กันโดยทั่วไปในทุกวงการ และต้นทุนไม่สูง เมื่อเทียบกับยากำจัดวัชพืชที่สามารถใช้ลดลงเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ มันยังมีความคุ้มค่ามากกว่า
Greeneye Technology เพิ่งประกาศการได้รับเงินทุนสนับสนุน 22 ล้านดอลลาร์ และมีแผนเสนอขายในเชิงพาณิชย์ในปี 2022 และกระจายไปทั่วอเมริกาเหนือในปี 2023
แหล่งข้อมูล
https://www.facebook.com/698124263678932/posts/2121302534694424/