1 – 2 ปี ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่หลายประเทศทั่วโลก หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากมีผู้ผลิตที่หันมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น รวมถึงยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่ารถยนต์สันดาป ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์รักษ์โลก
แต่จุดหนึ่งที่หลายคนตัดสินใจได้ยากว่า จะหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์สันดาปดีหรือไม่ ก็ไม่พ้นเรื่องที่ว่า สถานีชาร์จแบตฯ รถไฟฟ้าในหลาย ๆ ประเทศยังไม่ทั่วถึงนั่นเอง
และเพื่อแก้ปัญหานี้ ทางประธานาธิบดีสหรัฐ โจ ไบเดน จึงประกาศทุ่มงบกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 163,500 ล้านบาท) เพื่อสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วสหรัฐฯ กว่า 500,000 สถานี ภายในปี 2030 หรือในอีก 8 ปีข้างหน้า ซึ่งถ้าหากเป็นไปตามนี้ สหรัฐฯ จะมีสถานีชาร์จเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับจำนวนสถานีชาร์จในปัจจุบัน
โดยเริ่มแรก ในปีนี้รัฐบาลจะแจกจ่ายงบประมาณไปยัง 50 รัฐทั่วประเทศ เพื่อสร้างสถานีชาร์จตามถนนทางหลวงที่ใช้เดินทางระหว่างรัฐ จากนั้นจะค่อยขยายไปตามย่าน ชุมชน และพื้นที่ห่างไกล ท้ายที่สุด สหรัฐฯ ตั้งเป้าว่า ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะพบสถานีชาร์จไฟฟ้าได้ทุก ๆ 50 ไมล์ (ราว 80 กิโลเมตร)
ด้าน โจ ไบเดน กล่าวถึงการทุ่มเงินในครั้งนี้ว่า “มันจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า อเมริกาจะเป็นผู้นำโลกในด้านยานยนต์ไฟฟ้า”
สำหรับเงินกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนี้ เป็นเงินส่วนหนึ่งจากแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือ Bipartisan Infrastructure Package ที่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา และโจ ไบเดน ได้ลงนาม ไปแล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งแผนดังกล่าว มีงบประมาณโดยรวม 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (39 ล้านล้านบาท) เพื่อนำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคของประเทศ
โดยการทุ่มเงินในครั้งนี้ ก็เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และหันมาใช้แหล่งพลังงานสะอาดมากขึ้น
นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังตั้งเป้าด้วยว่า ภายในปี 2030 ครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด อีกด้วย
แหล่งข้อมูล
https://www.facebook.com/1387231808035873/posts/4780492725376414/