Tesla ขึ้นราคารถยนต์ในจีนและสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังเงินเฟ้อทำให้ต้นทุนสูงขึ้น

Share

Loading

Tesla ประกาศ ปรับขึ้นราคารถยนต์ทั้งในจีน และสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง นับว่าเป็นครั้งที่ 2 ในรอบไม่ถึง 1 สัปดาห์ หลังก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ CEO ของ Tesla เพิ่งออกทวีตว่า ทั้ง Tesla และ SpaceX กำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ที่ทำให้ต้นทุนในการผลิตและค่าขนส่งสูงขึ้น ประกอบกับสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

โดยบนเว็บไซต์ของ Tesla ในสหรัฐฯ ได้มีการปรับราคารถยนต์ทุกรุ่นในสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังจากเมื่อวันพุธที่แล้ว เพิ่งปรับราคาทุกรุ่นขึ้น 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33,500 บาท) ยกตัวอย่างเช่น

-Tesla Model 3 รุ่น Performance ปรับขึ้น 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 100,500 บาท) เป็น 61,990 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.1 ล้านบาท)

-Tesla Model Y รุ่น Performance ปรับขึ้น 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 100,500 บาท) เป็น 67,990 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.3 ล้านบาท)

ขณะที่รถรุ่นเรือธงอย่าง Tesla Model S และ Model X ก็ไม่รอดที่จะถูกปรับราคาขึ้นด้วยเช่นกัน

-Tesla Model S เริ่มต้น 99,990 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.4 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากเดิม 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 167,500 บาท)

-Tesla Model X เริ่มต้น 114,990 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.9 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากเดิม 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 335,000 บาท)

ส่วนในจีน ได้มีการปรับราคาขึ้นในบางรุ่นที่ผลิตในจีน เช่น Tesla Model 3 และ Model Y โดยปรับขึ้นราว 5% หลังจากเมื่อวันพุธที่แล้ว เพิ่งปรับขึ้นรุ่นละ 10,000 หยวน (ราว 52,500 บาท) ซึ่งทำให้ราคาหลังปรับขึ้นทั้งหมด

-Tesla Model Y รุ่น Long Range อยู่ที่ 375,900 หยวน (ราว 2.0 ล้านบาท)

-Tesla Model 3 รุ่น Performance อยู่ที่ 367,900 หยวน (ราว 1.9 ล้านบาท)

สำหรับราคาที่ปรับขึ้นทั้งหมดนี้ จะมีผลเฉพาะกับคำสั่งซื้อใหม่ เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งส่วนใหญ่จะมีกำหนดระยะเวลาในการส่งมอบอย่างน้อย 2-3 เดือน ส่วนรุ่นเริ่มต้นที่มีราคาถูกกว่า อาจจะมีระยะเวลาในการส่งมอบไปจนถึงช่วงปลายปีเลยทีเดียว

สาเหตุก็เนื่องจาก Tesla มียอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการที่ผู้คนให้ความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น หลังราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นนั่นเอง

อย่างไรก็ดี การที่ Tesla ปรับราคาขึ้น ก็เป็นเพราะภาวะเงินเฟ้อ ที่ทำให้ราคาต้นทุนต่าง ๆ สูงขึ้นด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็น่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทอื่น ๆ และคาดว่าในอนาคตก็น่าจะมีการปรับราคาขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน

แหล่งข้อมูล

https://www.facebook.com/1387231808035873/posts/4872485002843852/