ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด จึงทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมอย่างมาก
ผู้ผลิตหลายรายต่างพัฒนาเทคโนโลยีในรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองให้โดดเด่นในด้านต่าง ๆ มาแข่งขันกัน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกันในด้านระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง, เทคโนโลยีกล้องตรวจจับวัตถุต่าง ๆ บนท้องถนน หรือความเสถียรของแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับรถยนต์ในการแจ้งสถานะต่าง ๆ แต่เทคโนโลยีที่กำลังน่าจับตามองไม่แพ้กันในรถยนต์ไฟฟ้าอีกอย่างหนึ่งก็คือ “เทคโนโลยีขับขี่อัติโนมัติ”
ซึ่งหากจะพูดถึงเทคโนโลยีนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า Tesla เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้อยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีนี้จะได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรายอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างล่าสุด Hyundai ค่ายรถยนต์ชั้นนำจากเกาหลีใต้ ได้ประกาศแผนลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 171,300 ล้านบาท) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรวมไปถึงเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ และเทคโนโลยี AI ที่สหรัฐอเมริกา ภายในปี 2025 โดยก่อนหน้านี้ไม่นาน Hyundai เพิ่งจะประกาศทุ่มทุนกว่า 5,540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 189,700 ล้านบาท) เพื่อสร้างฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และโรงงานแบตเตอรี่ในสหรัฐฯ เช่นกัน
การที่ Hyundai ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขนาดนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของ Hyundai ในการรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่จะกลายเป็นเทรนด์หลักในอนาคต โดย Hyundai ยังได้เผยอีกว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในครั้งนี้ จะช่วยเสริมแกร่งให้กับ Hyundai ได้อย่างดีในการแข่งขันระยะยาว และตั้งเป้าจะเป็น Top 3 ของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ภายในปี 2026 อีกด้วย
เป็นที่น่าสนใจว่าการลงทุนในครั้งนี้ สอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ต้องการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา และถึงแม้นโยบายดังกล่าวจะดูคล้ายเป็นการเชิญชวนให้คู่แข่งจากต่างประเทศเข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ แต่จริง ๆ แล้วเป็นกลยุทธ์ที่ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่า เพราะ ณ ปัจจุบัน มีไม่กี่ประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เช่น สถานีชาร์จแบตฯ และศูนย์บริการต่าง ๆ พร้อมได้แบบสหรัฐฯ
Hyundai ที่เข้ามาลงทุนก่อนก็จะได้โอกาศเข้าถึงตลาดของผู้บริโภคชาวอเมริกันก่อน อีกทั้งยังได้ฐานลูกค้าและโอกาสในการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีจากผู้ใช้จริงอีกด้วย
ทางด้านสหรัฐฯ ยังก็ยังได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่บริษัทจากต่างชาติเข้ามาลงทุน เพราะไม่ว่าจะเป็นการขนส่งอะไหล่ รวมไปถึงแบตเตอรี่ต่าง ๆ จะถูกลงมาก ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิต ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐฯ จะได้เปรียบทางด้านต้นทุนเมื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ..
เพราะอย่าลืมว่าการจะผลักดันอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นจริงได้ ปัจจัยหลัก ๆ ก็คือ “แบตเตอรี่” และปัจจุบันผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของโลก ยังคงเป็นประเทศคู่แข่งอย่างจีน..
ดังนั้นการที่สหรัฐฯ ให้บริษัทจากต่างประเทศมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าก็คงไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไร แถมยังได้ลดการพึ่งพาการขนส่งอะไหล่, แบตเตอรี่ รวมถึงระบบซัปพลายเชน จากประเทศจีนอีกด้วย
แหล่งข้อมูล
https://www.facebook.com/MarketThinkTH/posts/5058042544288096/