ฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐสภายุโรป ลงมติผ่านกฎหมายแบนการจำหน่ายรถยนต์สันดาปภายใน ที่ใช้น้ำมันดีเซลและเบนซิน นับตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป โดยมีคะแนนเสียงโหวตเห็นด้วย 339 คน ไม่เห็นด้วย 249 คน และงดออกเสียง 24 คน ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้จะมีผลบังคับใช้กับทั้งหมด 27 ประเทศที่เป็นประเทศสมาชิกยุโรป
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญของยุโรป ที่จะเข้าใกล้เป้าหมายในการลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งได้ตั้งเป้าว่า ภายในปี 2030 ยุโรปจะสามารถลดการปล่อยมลพิษจากรถยนต์และรถตู้ได้ราว 50% และภายในปี 2035 จะสามารถลดการปล่อยมลพิษได้ 100% ทั้งจากรถยนต์ส่วนบุคคล และเพื่อการพาณิชย์
กฎหมายแบนการจำหน่ายรถยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันดีเซลและเบนซิน ยังมีผลต่อรถยนต์ไฮบริด (Hybrid) ที่ผสมผสานระหว่างพลังงานไฟฟ้าและน้ำมันด้วย
โดยพรรคการเมือง European People’s Party (EPP) ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษนิยม ได้ผลักดันให้มีการประนีประนอมในการอนุญาตให้จำหน่ายรถยนต์ไฮบริดต่อไปได้ แต่ก็ไม่เป็นผล ส่วนพรรค Green พยายามผลักดันให้กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้เร็วขึ้น คือ แบนการจำหน่ายภายในปี 2030 ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน
สำหรับสหราชอาณาจักร ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป แต่ได้แยกตัวออกไปแล้ว ก็มีแผนที่จะแบนการจำหน่ายรถยนต์สันดาปภายใน และรถตู้ ที่ใช้น้ำมันดีเซล และเบนซิน โดยตั้งเป้าว่า ภายในปี 2035 รถยนต์ทุกคันต้องไม่มีการปล่อยมลพิษผ่านท่อไอเสียเลย
การที่หลายประเทศเริ่มหันมาแบนการใช้รถยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมัน ซึ่งรวมถึงรถยนต์แบบไฮบริดด้วย ก็จะส่งผลให้ผู้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น จึงทำให้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าต่าง ๆ รวมถึงค่ายรถยนต์ดั้งเดิม มุ่งมาพัฒนาและผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น
ซึ่งสุดท้าย ก็จะเป็นผลดี ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเยอะขึ้น และรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลงด้วยนั่นเอง..
แหล่งข้อมูล
https://www.facebook.com/MarketThinkTH/photos/a.1393665140725873/5109633082462375/