จีน ‘ขอความร่วมมือ’ คนขับรถเมล์ ให้ใส่ ‘ริสต์แบนด์’ เพื่อรัฐจะได้เห็น ‘สภาพอารมณ์’ ของพวกเขาในเวลาทำงาน

Share

Loading

ทุกวันนี้ริสแบนด์เป็นสิ่งที่คนฮิตใส่กัน เพราะมันสะดวกมากๆ ในการที่เราจะได้บันทึกและเฝ้าดู ‘สัญญาณชีพ’ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือด การเคลื่อนไหว ความดันโลหิต และการนอน

ในแง่สุขภาพ อะไรพวกนี้สะดวกมากเพราะมันประมวลผลไปวิเคราะห์ได้เลย เราไม่ต้องมานั่งจด ซึ่งข้อมูลพวกนี้มันก็ไม่ได้เป็นแค่ที่เห็น เพราะถ้าดูผลผสมกันก็จะสามารถบอกได้อีกหลายอย่าง อาทิ สภาพอารมณ์ ระดับความเครียด ฯลฯ

แต่คนจำนวนไม่น้อยก็หวาดกลัวที่จะใช้ริสแบนด์เพราะข้อมูลพวกนี้อ่อนไหวมาก และเป็นข้อมูลส่วนตัวสุดๆ ซึ่งอาจเอาไปทำอะไรที่เป็นการไม่ประสงค์ดีกับเราก็ได้ ซึ่งเวลาเราให้ข้อมูลพวกนี้บริษัทเอกชนไป ก็จะมีคนสงสัยว่าจะไว้ใจได้เหรอ?

แต่ในกรณีของจีนต่างออกไป เพราะรัฐนั้นเริ่ม ‘ขอความร่วมมือ’ ให้ประชาชนให้ข้อมูลพวกนี้กับรัฐแล้ว

จริงๆ การใช้ริสแบนด์ของรัฐจีนไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในเดือนมีนาคม 2022 ทางการเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวนก็เริ่ม ‘บังคับ’ ให้ผู้ต้องสงสัยและคนที่ได้รับทัณฑ์บนใส่ริสแบนด์และให้ข้อมูล GPS มือถือกับทางการเพื่อจะสอดส่องความประพฤติ ซึ่งจริงๆ จีนก็มีไอเดียแบบนี้มาพักใหญ่แล้ว เพราะการสอดส่องแบบนี้ประหยัดงบกว่าการโยนทุกคนเข้าไปในคุก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เกี่ยวกับกับอาชญากรรมระดับไม่ร้ายแรง

แต่สิ่งที่ ‘ใหม่’ ก็คือล่าสุด ณ ปลายเดือนกันยายน 2022 ทางการกรุงปักกิ่งได้ ‘ขอความร่วมมือ’ ให้คนขับรถเมล์ใส่ริสต์แบนด์แล้ว โดยข้อมูลจะส่งตรงไปยังทางการ เพื่อจะได้รับรู้ว่าสภาพร่างกายของพวกเขาพร้อมจะขับรถได้ ทางการอ้างว่าทำลงไปเพื่อเป็นหลักประกันว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ได้อย่างปลอดภัย โดยมีคนขับรถเมล์ที่ต้องใส่ริแบนด์นี้ก็มีกว่า 1,800 คนแล้วในระลอกแรก

มาตรการนี้เกิดขึ้นหลังจากมีเหตุการณ์สลดรถบัสที่จะนำคนไปศูนย์กักกันโรคคว่ำที่มณฑลกุ้ยโจวในช่วงกลางเดือนกันยายน 2022 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 27 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 20 คน นี่เป็นข่าวใหญ่มากในจีนช่วงที่ผ่านมา และก็ระทึกขวัญมาก เพราะคนที่ตายนี่กำลังจะถูกส่งไปกักตัว หรือถือว่า ‘อยู่ใต้การดูแลของรัฐ’ โดยตรงเลย

ทางการปักกิ่งไม่ได้พูดชัดเจนว่ามาตรการนี้เป็นสิ่งสืบเนื่องมาจากเหตุสลดหรือเปล่า แต่ในความเป็นจริง ในจีนก็มีเหตุพวกนี้เรื่อยๆ และถึงจุดหนึ่ง ทางการก็คิดว่าน่าจะต้องมีมาตรการบางอย่างที่จะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก

แน่นอน คนจำนวนมากก็มองว่าการทำแบบนี้มีปัญหาทั้งเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัว และความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้น เพราะจะทำให้รัฐเข้าถึงข้อมูลบุคคลได้มากกว่าที่ควรจะเข้าถึง ซึ่งอะไรพวกนี้ที่คงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยในโลกตะวันตก แต่พอดีที่นี่เมืองจีน ก็เลยสามารถเป็นไปได้อย่างไม่ยากเย็น

และก็แน่นอนอีก มาทรงนี้ ทางการจีนก็คงจะ ‘บังคับ’ และ ‘ขอความร่วมมือ’ ให้ทุกคนที่ทางการคิดว่าต้องจับตามองใส่ริสต์แบนด์จนหมด เพราะก็ว่ากันตรงๆ ในสังคมที่ทุกที่มีกล้องวงจรปิดเว้นในพื้นที่ส่วนตัว ก็คงจะมีแต่ริสต์แบนด์นี่แหละที่จะตามไปสอดส่องในพื้นที่ส่วนตัวได้

แหล่งข้อมูล

https://www.facebook.com/brandthink.me/photos/a.1767934240198787/3451972758461585/