ยุโรปประเมิน อีกไม่เกินไป 5 ปี ‘คอนเทนต์ออนไลน์’ ประมาณ 90% จะถูกสร้างโดย AI

Share

Loading

เราอยู่ในยุคที่สารพัด ‘คอนเทนต์’ ถูกสร้างโดย AI แบบที่เรา ‘ไม่รู้ตัว’ ไม่ว่าจะเป็น Dall-E, Mid Journey หรือกระทั่ง Stable Diffusion

AI วาดภาพเหมือนที่ ‘มนุษย์สร้างขึ้น’ หรือย้อนไปอีกนิด AI ก็สามารถสร้างคอนเทนต์ผ่านการทำวิดีโอเปลี่ยนหน้าที่เรียกว่า ‘Deepfake’ ไปจนถึง AI ที่สามารถเขียนบทความได้เหมือน ‘คนจริงๆ’ เขียนจนคนอ่านแยกไม่ได้ก็มีให้เห็นมาแล้ว นั่นทำให้หลายคนคาดอีกไม่นาน AI จะสร้าง ‘สื่อดิจิทัล’ ได้ทุกชนิดผ่านโซเชียลมีเดีย แล้วลองนึกต่อว่า ทุกวันนี้โซเชียลมีเดียที่เราใช้ มันก็ให้ AI ทำหน้าที่ ‘แนะนำ’ สารพัดคอนเทนต์ให้เราอยู่แล้ว

ลองคิดต่อไหมว่า ถ้าวันนึงแทนที่มันจะ ‘แนะนำ’ สิ่งที่มีอยู่บนแพลตฟอร์ม แต่มันกลับเปลี่ยนไป ‘สร้าง’ คอนเทนต์ขึ้นมาใหม่ตามความชอบเรา เช่น ถ้ามันเห็นเราชอบคลิปแบบไหน มันก็สร้างคลิปแบบนั้นมาให้เราดู ถ้ามันเห็นเราชอบฟังเพลงแบบไหน มันก็สร้างเพลงแบบนั้นให้เราฟังสดๆ และถ้ามันรู้เราชอบอ่านบทความแบบไหน มันก็สร้างบทความแบบนั้นมาให้เราอ่าน หรือกระทั่งว่าถ้ามันเห็นว่าเราชอบคุยกับคนแบบไหน มันก็อยากจะสร้างคนแบบนั้นมาเป็นเพื่อนเรา ถ้าเป็นแบบนั้น โลกในอนาคตจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างไร

ทั้งหมดนี้จึงทำให้หน่วยตำรวจของทางสหภาพยุโรปหรือ ‘ยูโรโปล’ คาดการณ์ว่าในไม่เกิน 5 ปีต่อจากนี้โลกจะเต็มไปด้วย ‘คอนเทนต์’ สารพัดที่ AI สร้างขึ้นมา และคำถามต่อมาก็คือเราจะ ‘เอายังไง’ ในเชิงกฎหมาย เพราะมันจะมีปัญหาทางข้อกฎหมายแน่ๆ

ปัญหาจะมีอะไรบ้าง? คำตอบคือเต็มไปหมด ไล่ตั้งแต่ภาพที่ AI สร้างนี่ ‘มีลิขสิทธิ์’ หรือไม่? ลิขสิทธิ์เป็นของใคร? การวาดภาพมาคล้ายๆ นักวาดที่ยังมีชีวิตอยู่นี่เป็นการ ‘ละเมิดลิขสิทธิ์’ หรือไม่? หรือการทำ Deepfake จากหน้าคนจริงๆ จะถือว่าละเมิดเจ้าของหน้าที่แท้จริงหรือไม่? ถ้าผิด ผิดกฎหมายข้อไหน? หรือถ้า AI ดันสร้าง ‘ภาพโป๊เด็ก’ ขึ้นมาโดยบังเอิญโดยไม่มีใครสั่ง ใครจะเป็นคนผิดหรือรับผิดชอบ? และสมมติว่าคอนเทนต์ที่ AI สร้างขึ้นมาแบบอัตโนมัติ มันนำไปสู่อาชญากรรมร้ายแรงบางอย่าง ใครต้องรับผิดชอบ?

ลำพังที่กล่าวมานี้ก็ดูจะเป็นเรื่องยุ่งยากที่คนในสังคมต้องพูดคุยตกลงกัน ว่าจะสร้างสมดุลระหว่างเสรีภาพและความไม่วุ่นวายอย่างไร จะมีกติการ่วมกันยังไง? จะมีหน่วยงานที่เป็นตัวแทนประชาชนในการกำกับดูแลสิ่งเหล่านี้ยังไง? (ไม่ใช่เอะอะก็อ้างว่า ‘ผิด พรบ. คอมฯ’ แบบในบางประเทศ โดยคนบอกว่าผิดก็อธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผิดยังไง)

ซึ่งนี่ไม่ใช่ตอนต่อไปของซีรี่ส์ The Black Mirror แต่เป็นภาวะที่โลกจะต้องเผชิญแม้อาจจะไม่เร็วแบบที่ยูโรโปลประเมิน แต่อย่างช้าๆ ก็น่าจะเกิดขึ้นภายในไม่เกิน สิ้นทศวรรษนี้แน่ๆ และเราก็คาดหวังได้เลยว่ามันจะยุ่งเหยิงสุดๆ เพราะว่าแต่ละชาติก็อยากจะออกแนวทางควบคุมแต่พอไม่มีความเห็นตรงกันในนโยบายเหล่า โลกก็อาจจะเข้าสู่ภาวะไร้ระเบียบอันโกลาหลที่ไม่มีใครสามารถควบคุม ‘คอนเทนต์’ บนโซเชียลมีเดียได้ และถึงตอนนั้น เหล่าผู้มีอำนาจและคนเฒ่าคนแก่ก็น่าจะตระหนักและยอมรับถึงความ ‘ไร้อำนาจ’ ของตัวเองในการควบคุมภาวะอันยุ่งเหยิงนี้ เพราะสุดท้าย คงไม่มีกฎหมายใดๆ ที่สามารถควบคุม ‘เทคโนโลยี’ ที่คนแทบทั้งหมดในโลกใช้ ให้มันต่างไปจากเจตจำนงของพวกเขาได้

และจริงๆ รัฐเสรีประชาธิปไตยก็คงจะไม่ต้องมีปัญหาอะไรเพราะกฎหมายมันก็ควรจะเป็นเจตจำนงของประชาชนอยู่แล้ว ประชาชนต้องการให้ไม่ควบคุม ก็ต้องเป็นตามนั้น แต่ก็บอกเลยว่านี่น่าจะเป็นฝันร้ายของสังคมเผด็จการที่ชอบควบคุมโลกให้มันบิดผิดเพี้ยนไปจากเจตจำนงของประชาชน

แหล่งข้อมูล

https://www.facebook.com/brandthink.me/photos/a.1767934240198787/3457702564555271/