สายฟ้าคือพลังธรรมชาติอันน่าหวาดหวั่นมาช้านาน มันเป็นพลังมหาศาลที่น่ากลัวและเหนือการควบคุมของมนุษย์ และไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยที่สังคมโบราณ จะมองว่าสายฟ้าเป็นตัวแทน ‘เทพระดับสูง’ ไม่ว่าจะเป็นซุสในจักรวาลเทพกรีก หรือธอร์ในจักรวาลเทพนอร์ส เพราะพลังแห่งสายฟ้ามันยิ่งใหญ่ขนาดนั้น
ในประวัติศาสตร์สายฟ้ากับมนุษย์ เราเริ่ม ‘จัดการสายฟ้า’ ได้ครั้งแรกๆ ในศตวรรษที่ 18 หลังจากผู้รอบรู้ชาวอเมริกันอย่าง เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) ได้ผลิตคิดค้น ‘สายล่อฟ้า’ ออกมา และนี่ก็เป็นเทคโนโลยีหลักที่มนุษย์ใช้ ‘จัดการสายฟ้า’ ไม่ให้มันไปผ่าลงผู้คน ยานพาหนะ หรือกระทั่งสิ่งปลูกสร้างต่างๆ มาจนถึงปัจจุบัน
แต่ปัญหาของสายล่อฟ้า ก็คือระยะทำการมันแคบ มันเวิร์กในเมืองใหญ่ๆ ที่มีตึกสูงเยอะๆ แต่พวกพื้นที่โล่งกว้าง การเดินดุ่มๆ ตอนมีพายุฝนฟ้าคะนองก็อาจโดนฟ้าผ่าได้ง่ายๆ ดังเช่นในอดีต
นี่เลยทำให้นักวิจัยคิดเทคโนโลยีอีกระดับ ที่จะ ‘ล่อฟ้า’ ในพื้นที่ที่กว้างกว่านั้น และมันคือการใช้ ‘เลเซอร์’ ยิงไปในอากาศ เพื่อเปลี่ยนโมเลกุลของอากาศเพื่อจะล่อฟ้ามาได้สำเร็จ โดยผลวิจัยได้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Photonics ฉบับเดือนมกราคม 2023
ไอเดียก็คือ นักวิจัยจะทดลองว่าแสงเลเซอร์จะสามารถ ‘ควบคุม’ ทิศทางของสายฟ้าได้หรือไม่ พวกเขาเลยขึ้นไปบนภูเขาซานติสของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ลือชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่มีสายฟ้ากระหน่ำมาก ซึ่งผลวิจัยก็น่าทึ่งสุดๆ เพราะทุกครั้งที่นักวิจัยยิงแสงเลเซอร์ขึ้นฟ้าไป สายฟ้าก็แทบจะวิ่งแบบวนรอบตามแนวแสงเลเซอร์ทุกครั้ง
แน่นอนว่านี่ฟังดูง่ายๆ แต่มันน่าตื่นเต้นมาก เพราะอย่างที่เล่ามา ตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ การ ‘ควบคุมสายฟ้า’ เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ และนี่ก็น่าจะเป็นความหวังที่จะทำให้มนุษย์สามารถควบคุมความบ้าคลั่งของธรรมชาติที่ไม่เคยควบคุมได้เป็นครั้งแรก
แต่แน่นอน มันก็ยังมีคนกังขาว่ามันควบคุมสายฟ้าได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเลยหรือ และสนับสนุนให้มีการทดลองเพื่อความแน่ชัดต่อไปในอนาคต ตามขนบวิทยาศาสตร์ที่จะต้องทดลองซ้ำๆ แล้วได้ผลตรงกันทุกครั้ง ถึงจะแน่ใจได้ว่าผลการทดลองนั้นถูกต้องจริง
แหล่งข้อมูล