ฮาร์ดไดรฟ์ทุกตัวที่ Western Digital ผลิตขึ้นนั้นมีความซับซ้อนมาก โดยที่ไดรฟ์หนึ่งตัวประกอบด้วยชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ เกือบ 300 ชิ้นจากซัพพลายเออร์ต่างประเทศหลายร้อยแห่ง ต้องใช้โค้ดมากกว่าล้านบรรทัดเพื่อสื่อสารกับโฮสต์จำนวนนับไม่ถ้วน และทำงานให้มีข้อผิดพลาดน้อยกว่า 1 นาโนเมตร เทียบเท่าหนึ่งในพันล้านเมตร
ความซับซ้อนนี้มีความสำคัญมากต่อการขับเคลื่อนความต้องการทางธุรกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเริ่มตั้งแต่ทำการส่งมอบพื้นที่เก็บข้อมูลดิจิทัลที่มีความน่าเชื่อถือ ราคาที่จับต้องได้เพื่อใช้ในยุคอวกาศใหม่ (the New Space Age) ไปจนถึงการเสริมศักยภาพให้กับทีมครีเอทีฟที่ต้องทำงานแบบไฮบริด ทุกข้อคือสิ่งที่องค์กรขนาดใหญ่และต้องการใช้ข้อมูลสูงบนโลกใบนี้ต่างต้องการ
และเมื่อความต้องการใช้ข้อมูลขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลดิจิทัลที่ใหญ่ขึ้น ทำงานเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ย่อมมีมากขึ้นเช่นกัน ในขณะที่เทคโนโลยีแฟลชทำให้ SSD เป็นสื่อทางเลือกสำหรับเก็บข้อมูลที่ใช้ประจำแถมต้องเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้อมูลต่างๆ ของโลกก็ต้องการสตอเรจที่ราคาไม่แพงและมีความจุที่สูงมากพอเพื่อรองรับการขยายตัวของข้อมูลทีเพิ่มมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ Western Digital จึงได้เปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์แบบ CMR ขนาด 22TB[i] และแบบ SMR ขนาด 26TB ตัวแรกของอุตสาหกรรม เมื่อเร็วๆ นี้ เรียกได้ว่าเป็นสตอเรจที่เข้ามาช่วยเพิ่มพื้นที่ให้อุปกรณ์มีความจุสูงขึ้นกว่าที่เคยมีมา และทีมวิศวกรของ Western Digital ก็ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปอีกเรื่อยๆ และฮาร์ดไดรฟ์อีกหนึ่งรุ่น คือ Ultrastar DC HS760 เป็นฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้เทคโนโลยีหัวอ่านคู่ (Dual actuator) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของความจุขนาด 30 เทราไบต์ได้
ขับเคลื่อนอนาคตของฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง
ถึงแม้เทคโนโลยี Dual actuator จะไม่ใช่เรื่องใหม่ในอุตสาหกรรมการจัดเก็บข้อมูล และไม่ใช่เทคโนโลยีเดียวที่ทำให้ความจุของฮาร์ดไดรฟ์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้ แต่ก็เป็นหนึ่งในเทคนิคทางวิศวกรรมที่ช่วยให้เรามองเห็นวิธีการที่เราจะต่อยอดและพัฒนาไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยี OptiNAND ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของ Western Digital เป็นเทคโนโลยีใช้แฟลชแบบฝัง (embedded flash) ภายในฮาร์ดไดรฟ์ ตอนนี้จึงเป็นไปได้ที่จะเขียนบิตข้อมูลลงบนจานเดียวกันได้มากขึ้น หรือจะเป็นการใช้การบันทึกแม่เหล็กตั้งฉากแบบใช้พลังงานช่วย ที่เรียกว่า ePMR โดยวิศวกรสามารถเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง ในขณะเดียวกันยังสามารถควบคุมสัญญาณรบกวนที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่รบกวนและสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานเลยแม้แต่น้อย
เทคโนโลยีขาหัวอ่านแบบ 3 ขั้น (Triple-Stage Actuator: TSA) เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมของ Western Digital ที่ออกสู่ตลาดเป็นรายแรกของอุตสาหกรรม เรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถของบริษัทอย่างเป็นอย่างมาก หัวอ่านคือกลไกสำคัญที่วางตำแหน่งหัวอ่านของฮาร์ดไดรฟ์บนพื้นผิวของแผ่นจานโลหะ (หรือที่เรียกว่า Media) เริ่มต้นจากขาหัวอ่านแบบขั้นตอนเดียว และพัฒนาจนกลายเป็นหัวอ่านแบบสองขั้นที่ซับซ้อนและทันสมัยมากขึ้น โดยไดรฟ์ที่มีนวัตกรรม TSA ของ Western Digital จะเป็นไดรฟ์ที่มีการผสานรวมเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถสร้างจุดหมุนอิสระสามจุด การพัฒนาจนเกิดความคล่องตัวนี้ทำให้หัวอ่านของไดรฟ์มีความแม่นยำขึ้น ขณะเดียวกันยังลดเสียงและการสั่นของไดรฟ์ขณะทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถลดเวลาในการค้นหาข้อมูลที่จำเป็นตอนที่อ่าน/เขียนข้อมูลอีกด้วย
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการจัดเก็บข้อมูลมีอยู่ด้วยกันสองทางเลือก นั่นคือหน่วยความจำแบบแฟลช (SSD) และแบบฮาร์ดไดรฟ์ (HDD) แต่เมื่อเทคโนโลยีหัวอ่านคู่ (Dual actuator) รวมเข้ากับนวัตกรรมที่ล้ำสมัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น OptiNAND, ePMR และTSA จึงพัฒนาไปสู่พื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งโดยรวมคุณลักษณะของ SSD และ HDD เอาไว้ นวัตกรรมเหล่านี้ทำให้ Western Digital และลูกค้าร่วมกันกำหนดอนาคตของไดรฟ์ขนาด 30TB+ ซึ่งเป็นอนาคตสำหรับผู้ให้บริการจัดเก็บข้อมูลที่การตอบสนองของแฟลชฝังอยู่ภายในความจุที่มากขึ้นของฮาร์ดดิสก์
เมื่อมีความจุที่สูงขึ้น ย่อมต้องการค่า IOPs ต่อ TB ที่สูงขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กลุ่มบริษัทที่ใช้ข้อมูลจำนวนมาก กำลังตั้งตารอฮาร์ดไดรฟ์ที่มีความจุขนาด 30TB ขึ้นไปเพื่อให้สามารถที่จะเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลของพวกเขาเอาไว้ได้ ความต้องการนี้กลับกลายมาเป็นความท้าทายสำหรับวิศวกรเช่นกัน เนื่องจากต้องคำนึงถึงวิธีการบำรุงรักษาหรือแม้แต่การปรับปรุงค่า IOPs (ปริมาณการอ่านและเขียนไฟล์ต่อ 1 วินาที) บนไดรฟ์ที่มีความจุมากขึ้น
คุณราวี เปนเดกันติ (Ravi Pendekanti) รองประธานอาวุโสฝ่ายการจัดการผลิตภัณฑ์ HDD และการตลาดของ Western Digital กล่าวว่าขณะนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการเปิดตัว Ultrastar DC HS760 ซึ่งเป็นฮาร์ดไดรฟ์ตัวแรกของบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีหัวอ่านคู่ เพื่อที่จะเข้ามารับมือกับความท้าทายนี้
“ลองนึกภาพว่าคุณกำลังใช้มือข้างหนึ่งเพื่อหาถุงเท้าสักคู่” คุณราวีอธิบาย “คุณอาจจะเจอถุงเท้าคู่โปรดของคุณอย่างรวดเร็วก็ได้ ถ้าคุณหามันในลิ้นชักเล็กๆ แต่ลองคิดดูสิ ถ้าคุณต้องหามันในตะกร้าซักผ้าขนาด 5 ลิตร หรือตะกร้ายักษ์ขนาด 25 ลิตร! เมื่อขนาดของภาชนะที่ใส่ใหญ่ขึ้น สิ่งต่างๆ มันจะหาง่ายขึ้นมาก ก็ต่อเมื่อคุณใช้มือทั้งสองข้างหามันยังไงล่ะ”
และนั่นเอง คือเหตุผลของการพัฒนาเทคโนโลยีหัวอ่านแบบ dual actuators
เนื่องจากเทคโนโลยี OptiNAND ช่วยเพิ่มขนาดความจุของฮาร์ดไดรฟ์และหัวอ่านแบบ triple-stage actuators ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงนำไปสู่การเป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมีความหนาแน่นสูงขึ้น แต่ความจำเป็นในการรักษาประสิทธิภาพของไดรฟ์ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการมีหัวอ่านตัวที่สอง ซึ่งจะเป็นแยกออกจากหัวอ่านตัวแรก หมายความว่าฮาร์ดไดรฟ์สามารถดำเนินการ IOP ต่อ TB ได้มากขึ้นโดยมีความหน่วงแฝงลดลงแต่สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้มากขึ้น
ตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างถูกวิธีและถูกเวลา
คุณราวี ยังกล่าวต่ออีกว่ามูลค่ารวมของตลาด (TAM) สำหรับไดรฟ์แบบหัวอ่านคู่ในขณะนี้นั้นถือว่ามีมูลค่าค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตาม เขายังมองเห็นความต้องการความจุของ HDD ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
“มันเหมือนกับตลาดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้านั่นแหละครับ” เขากล่าว “ผู้คนให้ความสนใจกับรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ แต่จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมอยู่ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่าง ตั้งแต่บริษัทต่างๆ เริ่มสร้างเครือข่ายจุดชาร์จรถยนต์ที่ใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น และสามารถพิสูจน์ได้ว่าลูกค้าจะสามารถขับรถจากแคลิฟอร์เนียไปยังเท็กซัสได้โดยมีสถานีชาร์จตลอดทาง ตลาดก็เปลี่ยนไป”
ในการเปรียบเทียบของคุณราวี ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลดิจิทัลที่สามารถรองรับปริมาณข้อมูลที่มากขึ้นโดยไม่กระทบต่อ IOP นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างเห็นได้ชัด ลูกค้าระดับองค์กรรู้ดีว่าพวกเขาต้องการไดรฟ์ที่มีความจุสูงขึ้นเพื่อให้ทันต่อความต้องการข้อมูลใช้ข้อมูลที่มากขึ้น แต่อุปกรณ์ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ในเรื่องนี้ก็ต้องมีคุณภาพและประสิทธิภาพดีเยี่ยมเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องใช้งานกับกรณี AI เชิงสนทนาและความจริงเสมือน ที่ใช้การอ่านเขียนข้อมูลจำนวนมาก
ในขณะที่องค์กรกำลังเรียนรู้การปรับวิธีการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูล เพื่อให้รองรับกับกรณีการใช้งานที่กล่าวข้างต้น พวกเขาจำเป็นที่จำต้องมั่นใจว่ามีโครงสร้างพื้นฐานในการจัดเก็บข้อมูลเพื่อตอบสนองความต้องการและวิธีการดำเนินงานเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยไดร์ฟแบบหัวอ่านคู่อย่าง Ultrastar DC HS760 ราวกับ Western Digital ตั้งใจจะบอกผู้บริโภคทุกคนว่า เมื่อลูกค้าพร้อมที่จะรับมือกับปริมาณงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก เวสเทิร์นดิจิตอลเองก็จะพร้อมตอบสนองความต้องการเหล่านั้นเช่นกัน
[i] หนึ่งเทราไบต์ (TB) เท่ากับหนึ่งล้านล้านไบต์ ความจุของผู้ใช้จริงอาจน้อยกว่าเนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ต่างกัน
บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
33 ถนนสุคนธสวัสดิ์ แขวงลาดพร้าว
เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230
Tel : +66(0) 2553-8888
https://www.synnex.co.th/th/