ปีนี้ผู้คนต่างกำลังหันมาให้ความสำคัญกับ “เอไอ” มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจขนาดใหญ่ แบรนด์ขนาดกลาง ไปจนถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ล้วนมองเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ กูเกิล ฟันธง‘เอไอ’ กุญแจสำคัญ ก้าวต่อไป ‘นักการตลาด’
แจ็คกี้ หวาง ผู้อำนวยการ กูเกิล ประเทศไทย เปิดมุมมองว่า ได้เห็นผู้คนจำนวนนับล้านทั่วโลกกำลังนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ในช่องทางหลากหลายรูปแบบ เพื่อต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายในการดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคให้ได้ดียิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีธุรกิจสตาร์ตอัปและองค์กรจำนวนมากที่นำผลิตภัณฑ์ที่ทำงานด้วยระบบเอไอออกสู่ตลาดเร็วกว่าที่เคย และเทคโนโลยีเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทในแทบทุกอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เช่น Canva แพลตฟอร์มสำหรับการสื่อสารด้วยภาพซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ได้นำความสามารถของ Generative AI มาใช้ในการแปลภาษา เพื่อช่วยรองรับผู้ใช้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาอังกฤษในการแปลงานนำเสนอ โปสเตอร์ ข้อความที่โพสต์บนสื่อโซเชียล ฯลฯ เป็นภาษาต่างๆ มากกว่าร้อยภาษา
นอกจากนี้ ยังอยู่ในช่วงทดสอบในการเปลี่ยนคลิปวิดีโอสั้นๆ ให้ยาวและน่าสนใจขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้เป็นการสร้างประสบการณ์การออกแบบโดยรวมที่เหนือระดับ ด้วยการให้ทางเลือกมากมายกับผู้ใช้ในการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ
ปฏิวัติโลกการตลาด
แจ็คกี้ บอกว่า เอไอเป็นเรื่องที่นักการตลาดและผู้นำทางธุรกิจต่างให้ความสนใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย จากงานวิจัยล่าสุดของ McKinsey ที่มีชื่อว่า “The State of AI” พบว่า การตลาดเป็นด้านที่มีแนวโน้มว่าจะเติบโตมากที่สุดจากการใช้เอไอสำหรับธุรกิจในบริษัททุกขนาด รวมทั้งอุตสาหกรรม และภาคส่วนต่างๆ
“การตลาดได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกำลังมาแรง จนทำให้ผู้คนเปลี่ยนวิถีการบริโภคข้อมูลและสร้างปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ การตัดสินใจซื้อมีความซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม”
เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคสามารถเข้าถึงช่องทางที่หลากหลายขึ้นในการสร้างแรงบันดาลใจ หาข้อมูล และทำการซื้อ โดยเมื่อปีที่ผ่านมา 76% ของผู้ซื้อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้ช่องทาง 5 ช่องทางขึ้นไปในการซื้อสินค้าในช่วงที่มีกิจกรรมการขายสูงสุด
ความนิยมชมชอบของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเป็นเหตุให้นักการตลาดจำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อมูล ค้นหาข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า และปรับเปลี่ยนช่องทางการนำเสนอแบรนด์ของตนเองอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โชคดีที่ความก้าวหน้าด้านเอไอล่าสุดช่วยให้นักการตลาดเข้าถึงและตอบโจทย์ของลูกค้าได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างเช่น โมเดลภาษาขนาดใหญ่ของกูเกิลสามารถเข้าใจความซับซ้อนของภาษามนุษย์ได้ดีขึ้น 50% ดังนั้นเมื่อมีผู้ตั้งใจจะหาซื้อสินค้าโดยใช้ Google Search โมเดลภาษาเหล่านี้จะสามารถเข้าใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการค้นหาและนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากที่สุดเพื่อช่วยพวกเขาในการตัดสินใจ
ตอบโจทย์ลูกค้าเรียลไทม์
ที่ผ่านมา การปรับปรุงการใช้งานต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ ท่ามกลางความท้าทายมากมายที่ต้องเผชิญหลังสถานการณ์โควิด-19 มากกว่านั้นสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายและเข้าถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ ขณะเดียวกันสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่ยากจะค้นหาได้ด้วยตัวเอง
สำหรับกูเกิลเข้าใจดีถึงความกังวลที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีอย่างเอไอที่อาจมีต่ออุตสาหกรรม เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอุบัติใหม่อื่นๆ ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีจึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์และมีความรับผิดชอบ ผลักดันให้เทคโนโลยีส่งผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตของผู้คน
แม้เอไอจะมีบทบาทมากขึ้น แต่ไม่ได้มองว่าจะมาทดแทนมนุษย์ หากแต่เป็นสิ่งที่จะเอื้อประโยชน์ต่องานที่มีอยู่ หรือช่วยสร้างงานใหม่ๆ ด้วยซ้ำ
กูเกิลเชื่อว่า การนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้จะช่วยให้คนทำงานสามารถหันไปทุ่มเทกับโปรเจ็กต์ที่สร้างสรรค์ ซับซ้อน และเน้นด้านกลยุทธ์ได้มากกว่าเดิม
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือการวางแผนพัฒนาทักษะ ความรู้และความเชี่ยวชาญเพื่อให้นักการตลาดสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เพราะท้ายที่สุดแล้วเอไอจะช่วยธุรกิจสร้างผลลัพธ์ได้เต็มศักยภาพก็ต่อเมื่อมีนักการตลาดคอยกำหนดทิศทาง ควบคุม และป้อนข้อมูลให้
แหล่งข้อมูล