คาร์บอนเครดิตป่าไม้ คืออะไร? ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก และสร้างมูลค่าได้

Share

Loading

ทำความรู้จัก “คาร์บอนเครดิตป่าไม้” มีเงื่อนไขในการทำอย่างไร และมีต้นไม้ที่เข้าข่ายทำกิจกรรมเพื่อรับรองคาร์บอนเครดิตได้กี่ประเภท วันนี้มีคำตอบแบบกระชับ เข้าใจง่ายมาฝาก

คาร์บอนเครดิตป่าไม้ คืออะไร?

ประเด็นสังคมที่อยู่ในความสนใจของประชาชน หนึ่งในนั้นคือเรื่องคาร์บอนเครดิต ซึ่งกลไกสำคัญที่จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนได้ แต่ความน่าเชื่อถือของคาร์บอนเครดิต ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้น หากต้องการให้เกิดความน่าเชื่อถือของคาร์บอนเครดิตต้องมีการดำเนินกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกหรือก่อให้เกิดการกักเก็บคาร์บอนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งต้องเป็นการดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานโดยปกติทั่วไป และ ต้องไม่ใช่กิจกรรมที่ดำเนินการตามข้อบังคับของกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง และปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกต้องเกิดขึ้นอย่างถาวร มีวิธีการคำนวณ การตรวจวัดที่ได้มาตรฐาน และสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล ต้องผ่านกระบวนการทวนสอบจากบุคคลที่สาม โดยการรับรองคาร์บอนเครดิตนั้น ต้องมาจากหน่วยงานที่เป็นเจ้าของมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

ดังนั้น คาร์บอนเครดิต (Carbon Credits) ภายใต้บริบทของประเทศไทย คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้จากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ซึ่งเป็นกลไกที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบสมัครใจภายในประเทศไทย โดยคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER มีหน่วยเป็น “ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq)”

คาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ คือ ปริมาณการลด ดูดซับ และกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมประเภทการปลูกป่า

ประเภทต้นไม้ที่เข้าข่ายทำกิจกรรมเพื่อรับรองคาร์บอนเครดิตได้ 3 ประเภท
  1. ไม้ยืนต้นที่มีเนื้อไม้และอายุยืนยาว มีความสูงเกิน 1.30 เมตรขึ้นไป และมีวงปี ตั้งแต่ 4.50 เซนติเมตรขึ้นไป
  2. ต้นไม้ที่ไม่มีวงปี ได้แก่ ไผ่ ปาล์ม และ มะพร้าว
  3. ประเภท Blue Carbon เช่น หญ้าทะเล พืชที่อยู่ในป่าชายเลน เป็นต้น
เงื่อนไขในการทำคาร์บอนเครดิตประเภทป่าไม้
  1. ต้องมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการดำเนินงานของโครงการ T-VER และวิธีการคำนวณคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานที่ อบก. กำหนด
  2. ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่มากเพียงพอที่จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยของคาร์บอนเครดิตมีความเป็นไปได้ในการซื้อขายเชิงการค้า
  3. ต้องมีงบประมาณเพียงพอสำหรับการว่าจ้างผู้ประเมินภายนอกเพื่อตรวจสอบความใช้ได้ และทวนสอบปริมาณคาร์บอนเครดิต
  4. ต้องมีหนังสือแสดงสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายหรือได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

โครงการ T-VER ภาคป่าไม้ ที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ให้การรับรองคาร์บอนเครดิต ในปัจจุบัน (ข้อมูล ณ กันยายน 2566) มีโครงการที่ได้รับการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตทั้งหมด 6 โครงการ มีปริมาณคาร์บอนเครดิตเท่ากับ 122,185 tCO2eq คิดเป็น 0.72% ของปริมาณคาร์บอนเครดิตทั้งหมดที่มีการรับรอง

แหล่งข้อมูล

https://www.springnews.co.th/keep-the-world/sustainable/845221