- สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐได้เปิดเผยถึงแผนเบื้องต้นในการรับมือกับเทคโนโลยี AI ขั้นสูงจากต่างชาติ ที่อาจเป็น “ภัยคุกคาม” ต่อสหรัฐในหลากหลายรูปแบบ
- สมาชิกสภาทั้งจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ได้เสนอร่างกฎหมายที่จะเปิดทางให้รัฐบาลออกมาตรการห้ามการส่งออกเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้น
- ร่างกม.ฉบับนี้ ยังจะให้อำนาจแก่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ห้ามชาวอเมริกันทำงานกับบริษัทต่างชาติในการพัฒนา AI ขั้นสูงที่อาจเป็นภัยคุกคามความมั่นคง
รัฐบาลสหรัฐ ได้เปิดเผยถึงแผนการเบื้องต้นในการรับมือกับ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ขั้นสูง จากจีนและรัสเซีย ซึ่งอาจถูกนำมาใช้สร้าง “ภัยคุกคาม” ต่อสหรัฐอเมริกาได้ในหลากหลายรูปแบบ โดยนักวิจัยทั้งจากภาครัฐและเอกชนต่างกังวลว่า ประเทศคู่แข่งของสหรัฐ อาจใช้ AI ที่สามารถจัดการและประมวลผลข้อมูลมากมายมหาศาลทั้งที่เป็นข้อความและภาพ มาเป็นเครื่องมือในการสร้างภัยคุกคาม ไม่ว่าจะด้วยการสร้างเนื้อหาใหม่ หรือด้วยการโจมตีทางไซเบอร์ หรือแม้แต่การนำ AI ไปสร้างอาวุธชีวภาพรูปแบบใหม่
โดยสรุปคือ หาก AI ตกอยู่ในมือผู้ไม่ประสงค์ดี เทคโนโลยีดังกล่าวนี้ก็จะกลายเป็นภัยคุกคามได้ในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งสำนักข่าวรอยเตอร์ได้ประมวลเอาไว้ อ้างอิงจากผลการศึกษาของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ ดังนี้
สื่อลวงลึก หรือ Deepfake (ดีพเฟค) ข้อมูลเท็จเสมือนจริง
ความน่ากังวลของเรื่องนี้คือ เทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงสามารถสร้างวิดีโอปลอม หรือเนื้อหาปลอมๆ ที่ดูเหมือนของจริง มาใช้เป็นอาวุธแบบใหม่ในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม ด้วยการเผยแพร่ข่าวปลอมและข้อมูลต่างๆที่บิดเบือนหรือเป็น “ข่าวกุ” เพื่อสร้างประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยในช่วงหลายปีมานี้ การปล่อยเนื้อหาปลอมๆหรือสื่อปลอมๆที่สร้างขึ้นมาเนียนๆโดย AI แล้วปล่อยออกไปตามโซเชียลมีเดีย ได้ทำให้ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับข่าวสารต่างๆที่ได้รับหรือที่แชร์ส่งต่อกันทางสื่อสังคมออนไลน์ถูกตั้งคำถาม และในสหรัฐอเมริกา ก็มีการนำสื่อปลอมมาใช้กันมากเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ทำให้ผู้ชมหรือผู้รับสาร ยากจะแยกแยะระหว่างเรื่องจริงและเรื่องเท็จ
ยิ่งเมื่อประกอบเข้ากับในช่วงหลายปีมานี้ การที่ธุรกิจสื่อเองได้รับเอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานข่าวจริง พ่วงด้วยขุมพลังใหม่อย่าง generative AI ที่ทำให้การผลิตสื่อทำได้ง่ายขึ้นและต้นทุนต่ำลงอย่างแทบไม่น่าเชื่อ เช่น โปรแกรม Midjourney ที่เป็น AI ช่วยวาดภาพประกอบ สามารถเปลี่ยนข้อความให้เป็นรูปภาพสวยงามด้วยคำสั่งเพียงไม่กี่คำ ก็ยิ่งทำให้มีการนำ AI มาสร้างเนื้อหาข้อมูลข่าวสารอย่างกว้างขวางมากขึ้นแบบติดเทอร์โบชาร์จ
รายงานของนักวิจัยสหรัฐที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม ชี้ว่า โปรแกรมสร้างสรรค์ภาพ (image creation tools) ของบริษัทชั้นนำอย่าง OpenAI และ Microsoft MSFT.O ถูกนำมาสร้าง “ภาพถ่าย” ที่ถูกนำไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งและการสร้างข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อหวังผลในการลงคะแนน แม้ว่าบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมเหล่านี้จะมีนโยบายป้องกันการนำโปรแกรมไปใช้ในการสร้างเนื้อหาประเภทข่าวลวงแล้วก็ตาม
บางครั้งผู้ปล่อยเนื้อหาข่าวลวงก็เพียงแต่ใช้ความสามารถของ AI ในการเลียนแบบหรือสร้างภาพเลียนแบบจากเนื้อหาของข่าวจริง ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับผู้รับชมในการแยกแยะว่าสิ่งที่เห็นและได้ยินนั้น เป็นจริงหรือไม่
แม้ว่าโซเชียลมีเดียรายใหญ่อย่าง เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ (X) และยูทูบ จะมีมาตรการห้ามการปล่อยข่าวลวงบนแพลตฟอร์มของตนเอง และหากพบก็มีการลบข้อมูลเหล่านั้นออกไป แต่ประสิทธิภาพในการติดตามตรวจสอบและไล่แก้ปัญหาของแต่ละราย ก็แตกต่างกันออกไป
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ (Department of Homeland Security หรือ DHS) ระบุในรายงานประเมินภัยคุกคามในปี 2024 ว่า เมื่อปีที่ผ่านมา มีเว็บไซต์สื่อของรัฐบาลจีนใช้ generative AI เผยแพร่ข่าวปลอมที่ว่าสหรัฐมีห้องทดลองในประเทศคาซัคสถานเพื่อสร้างอาวุธชีวภาพสำหรับใช้ต่อต้านจีน
“ตอนนี้ฝ่ายโจมตีกำลังอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบฝ่ายตั้งรับอยู่มาก”
นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาว กล่าวในงานสัมมนาด้าน AI ในกรุงวอชิงตันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ยอมรับว่า ไม่มีทางออกที่ง่ายดายในการรับมือกับศักยภาพของ AI เพราะเบื้องหลังการใช้สมรรถนะที่ล้ำเลิศของ AI ก็คือ รัฐหรือผู้ที่ไม่ใช่รัฐ ที่ตั้งใจใช้ข้อมูลที่บิดเบือนไปจากความจริง ในการขัดขวางประชาธิปไตย และเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อสร้างการรับรู้ข่าวลวงในระดับโลก
“ตอนนี้ฝ่ายโจมตีกำลังอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบฝ่ายตั้งรับอยู่มาก” ซัลลิแวนกล่าว
การสร้างอาวุธชีวภาพด้วย AI
ชุมชนด้านข่าวกรอง สถาบันคลังสมอง และนักวิชาการของสหรัฐ ได้พากันแสดงความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่เกิดจากการที่ “ผู้ไม่ประสงค์ดีจากต่างชาติ” สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง
นักวิจัยจากสถาบัน Gryphon Scientific และ Rand Corporation กล่าวกับรอยเตอร์ว่า โมเดลภาษาขนาดใหญ่ หรือ LLM ที่เป็น AI ขั้นสูง สามารถให้ข้อมูลที่ช่วยในการสร้างอาวุธชีวภาพได้แล้ว โดย AI สามารถป้อนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แม่นยำ และลงลึกในรายละเอียดสำหรับทุกๆขั้นตอนที่จะต้องใช้ในการประดิษฐ์อาวุธดังกล่าว
“LLM อาจมอบองค์ความรู้ระดับสูงกว่าปริญญาเอกในการแก้ปัญหาอันซับซ้อน เมื่อต้องจัดการกับไวรัสที่สามารถแพร่เชื้อรุนแรงถึงขั้นการระบาดใหญ่ทั่วโลกได้ อีกทั้งยังพบว่า LLM อาจช่วยในการวางแผนหรือตัดสินใจเรื่องการโจมตีทางชีวภาพ เช่น วิธีการส่งสารละอองแขวนลอยที่มีสารพิษในนั้นได้” ผลการศึกษาของสถาบัน Gryphon Scientific ระบุ
อาวุธไซเบอร์และการโจมตีของผู้ประสงค์ร้าย
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทโอเพ่น เอไอ (OpenAI) และแผนกความปลอดภัยของไมโครซอฟท์ พบว่า กลุ่มแฮกเกอร์ที่มีรัฐบาลรัสเซีย จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือหนุนหลัง กำลังใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ของ OpenAI ในการยกระดับทักษะในการโจมตีเป้าหมาย เช่น การค้นหาพิกัดดาวเทียมและเรดาร์ในสมรภูมิรบ สร้างเนื้อหา “ฟิชชิ่ง” การเขียนอีเมลที่ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น และการฝึกถามคำถามด้านความปลอดภัยไซเบอร์ต่าง ๆ เพื่อหลอกล่อเป้าหมาย
เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐ (DASK) กล่าวว่า ผู้ไม่ประสงค์ดีบนโลกไซเบอร์อาจใช้ AI ในการพัฒนาเครื่องมือเพื่อการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใหญ่ขึ้น เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น และหลบหนีการจับกุมได้มากขึ้น ซึ่งการโจมตีดังกล่าวอาจพุ่งเป้าไปที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆของสหรัฐ รวมทั้งระบบท่อส่งเชื้อเพลิง และการขนส่งระบบราง
นอกจากนี้ DASK ยังระบุด้วยว่า จีนและประเทศคู่แข่งของสหรัฐรายอื่น ๆ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสนับสนุนการทำลายระบบป้องกันของสหรัฐโดยการโจมตีด้วยมัลแวร์
เพื่อเป็นการป้องกันภัยคุกคามดังกล่าว สมาชิกรัฐสภาสหรัฐทั้งในฟากพรรคโมแครตและรีพับลิกันได้ร่วมกันนำเสนอร่างกฎหมายเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา เป้าหมายเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐสามารถออกมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีของสหรัฐตกไปอยู่ในมือของต่างชาติที่ไม่ประสงค์ดี
ร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนายไมเคิล แมคคอล (Michael McCaul) สส.จากพรรครีพับลิกัน นายราชา กฤษณะมูรติ (Raja Krishnamoorthi) และนางซูซาน ไวลด์ (Susan Wild) จากพรรคเดโมแครต ยังจะให้อำนาจแก่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐในการห้ามชาวอเมริกันทำงานกับบริษัทต่างชาติเพื่อพัฒนาระบบ AI ที่อาจเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของสหรัฐด้วย
แหล่งข้อมูล