Binit สตาร์ทอัพรักษ์โลกจากฟินแลนด์ ใช้ AI เพื่อบอกวิธีแยกและกำจัดขยะภายในบ้าน

Share

Loading

ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำต่างๆ เช่น Google และ OpenAI ได้แสดงความสามารถหลายรูปแบบของ AI ในการระบุสีของวัตถุหรือศักยภาพที่เลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ แต่ Binit สตาร์ทอัพสัญชาติฟินแลนด์ได้นำพลังของ LLM หรือ Large Language Models ซึ่งเป็นโมเดลพื้นฐานการประมวลผลภาษาขนาดใหญ่ของ Generative AI มาใช้ เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ขนาดเล็ก เพื่อสแกนถังขยะของคุณแล้วบอกวิธีแยกขยะอย่างแม่นยำ และสามารถกำจัดขยะได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง

น่าหดหู่ที่ว่า 1 ใน 9 คน ไม่มีอาหารเพียงพอ นั่นหมายความว่ามีผู้คนกว่า 793 ล้านคนทั่วโลก ที่ขาดสารอาหาร หากสามารถป้องกันหรือรักษา 1 ใน 4 ของอาหารที่สูญเสียไปในปัจจุบันไว้ได้ ก็จะเพียงพอที่จะเลี้ยงผู้หิวโหยได้ 870 ล้านคน FAO ระบุว่า 1 ใน 3 ของอาหารทั้งหมดที่ผลิตสูญหายหรือสูญเปล่า (อาหารประมาณ 1,300 ล้านตัน) ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจโลกเกือบ 940,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และหากเปรียบขยะอาหารเป็นประเทศหนึ่ง ประเทศนี้จะเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับที่ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน ขณะที่ UNEP รายงานว่า ก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกมากถึง 10% มาจากอาหารที่ผลิตขึ้นแต่ไม่ได้รับประทาน ที่น่าตกใจไปกว่านั้น การสูญเสียอาหารเลวร้ายยิ่งกว่าการปล่อยก๊าซทั้งหมดจากการบิน (1.9%) การผลิตพลาสติก (3.8%) และการกลั่นน้ำมัน (3.8%) นอกจากนี้ อาหารที่เน่าเปื่อยในหลุมฝังกลบจะปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า ขณะที่การกำจัดขยะอาหารทั่วโลกจะช่วยประหยัด C02 ได้ 4.4 ล้านตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการเลิกใช้หรือนำรถยนต์ 1 ใน 4 คัน ออกจากท้องถนน

หนึ่งในฟันเฟืองเล็กๆ ที่อาสาลดทอนปัญหาเรื้อรังอันหนักอึ้งของมนุษยชาตินี้คือ “Binit” สตาร์ทอัพดาวรุ่งจากฟินแลนด์ ที่สร้างเทคโนโลยีการมองเห็นที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งทำให้การลดขยะในครัวเรือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะอาหาร ให้เป็นเรื่องง่ายและสนุก ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าในแต่ละวัน ตัวเองทิ้งขยะไปมากแค่ไหน และเป็นขยะประเภทไหนบ้าง

ไม่เพียงระบุวัตถุต่างๆ เช่น ถ้วยกาแฟ หรือเปลือกผักและผลไม้เท่านั้น แต่นวัตกรรมนี้ยังพยายามวิเคราะห์วัสดุ และแบรนด์ต่างๆ แล้วระบุเทคนิคการผลิต เพื่อบอกวิธีการแยกขยะในครัวเรือน ด้วยด้วยความแม่นยำสูงถึง 98% รวมถึงวิธีที่ดีที่สุดการกำจัดขยะประเภทนั้น เพื่อไม่ให้ถูกกำจัดแบบผิดๆ

แม้ AI สำหรับการคัดแยกสารพันสิ่งที่เราทิ้งไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรีไซเคิลในระดับเทศบาลหรือเชิงพาณิชย์จะได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการมาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีสตาร์ทอัพอย่าง Greyparrot, ThrashBot และ Glacier นำเสนอบริการนี้ แต่ Borut Grgic ผู้ก่อตั้ง Binit มองว่าการติดตามขยะในครัวเรือนนั้นยังเป็นโอกาสและช่องว่างทางการตลาดอยู่ จึงพัฒนาเครื่องติดตามขยะในครัวเรือนเครื่องแรก ด้วยการใช้เทคโนโลยีการมองเห็นด้วยกล้องที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงข่ายประสาทเทียม และใช้ LLM เพื่อจดจำขยะในครัวเรือน

สตาร์ทอัพนี้ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และได้เงินทุนเกือบ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากนักลงทุนรายหนึ่ง กำลังสร้างฮาร์ดแวร์ AI ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในห้องครัว ภายใต้รูปลักษณ์และรูปทรงที่สวยงาม โดยติดตั้งกับตู้หรือผนังใกล้ๆ กับถังขยะหรือบริเวณเตรียมอาหาร อุปกรณ์อัจฉริยะที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่นี้มีกล้องติดตัวและเซ็นเซอร์อื่นๆ เพื่อให้สามารถตื่นขึ้นมาได้เมื่อมีคนอยู่ใกล้ๆ ช่วยให้สแกนสิ่งของหรือบรรจุภัณฑ์อาหารต่างๆ ก่อนที่จะทิ้งลงถังขยะ

Binit พึ่งพาการผสานรวมกับ LLM เชิงพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น GPT-3 อันทรงพลังของ OpenAI เพื่อทำการจดจำรูปภาพ จากนั้น Binit จะติดตามสิ่งต่างๆ ที่ครัวเรือนทิ้งไป โดยให้การวิเคราะห์ ข้อเสนอแนะ และการเล่นเกมผ่านแอปพลิเคชั่น เพื่อเก็บสะสมคะแนนรายสัปดาห์ ทั้งหมดนี้มุ่งเป้าไปที่การสนับสนุนให้ผู้ใช้ลดจำนวนขยะที่ทิ้งไป ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเชิงบวก

เดิมทีทีมงานพยายามฝึกโมเดล AI ของตนเองให้ทำการจดจำขยะ แต่มีความแม่นยำต่ำ (ประมาณ 40% เท่านั้น) ดังนั้นพวกเขาจึงยึดแนวคิดในการใช้ความสามารถในการจดจำภาพของ OpenAI โดย Borut Grgic อ้างว่า Binit มีความสามารถในการจดจำขยะ ซึ่งมีความแม่นยำเกือบ 98% หลังจากบูรณาการกับ LLM

“โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งที่เราให้ผู้ใช้ทำคือยื่นวัตถุไปด้านหน้าของกล้อง บังคับให้มันอยู่นิ่งๆ หน้ากล้องสักพักหนึ่ง ในขณะนั้นกล้องจะจับภาพจากทุกมุม จากนั้นข้อมูลขยะที่สแกนโดยผู้ใช้จะถูกอัปโหลดไปยังคลาวด์ โดยที่ Binit สามารถวิเคราะห์และสร้างคำติชมให้กับผู้ใช้ได้ ซึ่งการวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานจะให้บริการฟรี และเข้าถึงคุณสมบัติระดับพรีเมียมผ่านการสมัครสมาชิก” เขาบอกกับ TechCrunch

ไม่เพียงเท่านี้ Binit ยังมองว่าตัวเองเป็นผู้ให้บริการข้อมูลที่มีศักยภาพ โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกแบบไม่ระบุชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมขยะของผู้บริโภคแก่หน่วยงานต่างๆ เช่น ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ข้อมูลนี้อาจมีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

ถึงกระนั้น หนึ่งในคำวิจารณ์ที่ชัดเจนต่อข้อเสนอของ Binit ก็คือ จริงๆ แล้วคนเราต้องการอุปกรณ์ไฮเทค เพื่อบอกว่าเรากำลังทิ้งพลาสติกมากเกินไปหรือไม่? เราทุกคนไม่รู้หรือว่าเรากำลังบริโภคอะไร? และเราทุกคนไม่รู้หรือว่าต้องพยายามไม่สร้างขยะให้มากขนาดนั้น ความตระหนักรู้ของผู้บริโภคด้านสิ่งแวดล้อมยังไม่เพียงพอหรืออย่างไร

ข้อโต้แย้งจาก Borut Grgic ต่อประเด็นนี้คือ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ตระหนักถึงความสำคัญของการลดขยะ แต่นิสัยที่ฝังแน่นนั้นยากที่จะทำลาย แนวทางของ Binit เปรียบเทียบได้กับเครื่องมือติดตามการนอนหลับ ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ใช้ทำการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้ แม้ว่าพวกเขาจะตระหนักถึงหลักการทั่วไปอยู่แล้วก็ตาม

นอกจากนี้ หัวเรือใหญ่ของ Binit ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ความแปลกใหม่และความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์นี้คือ “การต่อต้านการบริโภคที่ไร้การควบคุม” ดังนั้นด้วยแนวทางของสตาร์ทอัพรายนี้จึงสอดคล้องกับความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคและการดำเนินการเพื่อความยั่งยืน ความรู้สึกที่ว่าวัฒนธรรมการบริโภคแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งของเราจำเป็นต้องสลัดออกไปให้หมด และแทนที่ด้วยการบริโภคอย่างมีสติ การใช้ซ้ำ และการรีไซเคิล เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต

ขณะเดียวกันก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า สำหรับการใช้งานของ Binit ไม่สามารถเป็นเพียงแอปฯ บนสมาร์ทโฟนเพียงอย่างเดียว? Borut Grgic บอกว่า บางครัวเรือนมีความสุขที่ได้ใช้สมาร์ทโฟนในห้องครัว แต่อาจทำให้มือสกปรกระหว่างเตรียมอาหาร แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ที่มองเห็นคุณค่าของการมีเครื่องสแกนขยะแบบแฮนด์ฟรีโดยเฉพาะ

จนถึงขณะนี้ Binit ได้ทดลองใช้เครื่องสแกนขยะแบบ AI ใน 5 เมืองทั่วสหรัฐอเมริกา (นิวยอร์ก, ออสติน, เท็กซัส, ซานฟรานซิสโก, โอ๊คแลนด์ และไมอามี) และอีก 4 เมืองในยุโรป (ปารีส, เฮลซิงกิ, ลิสบอน และลูบลิยานา ซึ่ง Borut Grgic มีพื้นเพมาจากเมืองนี้ในสโลวีเนีย)

ผลลัพธ์จากโครงการนำร่องของ Binit ทั่วสหรัฐอเมริกาและยุโรป แสดงให้เห็นสัญญาณที่ดี โดยมีรายงานว่าผู้ใช้ลดของเสียที่ผสมปนเปกันในถังขยะลงประมาณ 40% หลังจากใช้งานเทคโนโลยีนี้ ทำให้ทีมงานกำลังเร่งดำเนินการเพื่อเปิดตัวเชิงพาณิชย์ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะประเดิมในสหรัฐอเมริกาก่อน โดยราคาที่พวกเขาตั้งเป้าไว้สำหรับฮาร์ดแวร์ AI อยู่ที่ประมาณ 199 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นราคาที่น่าดึงดูดใจ สำหรับอุปกรณ์สมาร์ทโฮม

แหล่งข้อมูล

https://www.salika.co/2024/06/07/binit-finland-startup-ai-waste-tracker/