Salesforce ชี้ ผู้บริหารไทยพร้อมใช้ AI แต่ยังกังวลเรื่องความปลอดภัย

Share

Loading

ผลสำรวจจาก Salesforce (เซลส์ฟอร์ซ) เผยว่า ผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทยมองว่า Generative AI มีความสำคัญสูงสุดเป็นลำดับแรกสำหรับองค์กร แต่ปัญหาด้านข้อมูลและการปกป้องความเป็นส่วนบุคคลทำให้ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มศักยภาพ

ยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าวงการธุรกิจทั่วโลก ผลการวิจัยล่าสุดจาก เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) บริษัทด้านจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) เผยให้เห็นว่าผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทยกำลังให้ความสำคัญกับ Generative AI อย่างมาก โดยมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กรในอนาคตอันใกล้

ผลสำรวจจาก YouGov ในนามเซลส์ฟอร์ซได้รวบรวมความคิดเห็นจากผู้บริหารระดับสูง 225 คนจากองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า “84% มองว่า Generative AI เป็นหนึ่งในสามสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดต่อการดำเนินธุรกิจภายในสามปีข้างหน้า โดย 37% ระบุว่ามีความสำคัญสูงสุดเป็นอันดับแรก”

แรงขับเคลื่อนหลักที่ทำให้องค์กรต้องนำ Generative AI มาใช้ ได้แก่

  • ความคาดหวังของลูกค้าที่ต้องการบริการที่รวดเร็วและเป็นส่วนตัวมากขึ้น (44%)
  • ความต้องการของพนักงานในการใช้เครื่องมือ AI (44%)
  • ความต้องการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับลูกค้าและพนักงาน (41%)

อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นถึงความสำคัญ แต่ผู้บริหารก็ยังพบกับ “ความท้าทายในการนำ AI มาใช้งานจริง” โดยเฉพาะในด้านข้อมูลและความปลอดภัย โดย

  • 29% กังวลเรื่องความถูกต้องแม่นยำของผลลัพธ์จาก AI
  • 28% พบปัญหาในการใช้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนในการฝึกฝน AI
  • 28% กังวลเรื่องการปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล

ธิติรัตน์ ทองถาวร ผู้จัดการประจำเซลส์ฟอร์ซ ประเทศไทย กล่าวว่า “ก่อนที่องค์กรจะสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่ สิ่งสำคัญคือต้องจัดการกับปัญหาพื้นฐานด้านข้อมูลก่อน โดยเฉพาะการรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ AI สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ”

แม้จะมีความท้าทาย แต่ผู้บริหารไทยก็มีความมั่นใจสูงในการใช้ AI แบบอัตโนมัติ (Autonomous AI) โดย 100% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าพร้อมจะมอบหมายงานบางอย่างให้ AI ทำโดยไม่ต้องมีการควบคุมจากมนุษย์ภายใน 3 ปีข้างหน้า

“เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างการคัดลอกข้อมูลเป็นศูนย์ (Zero Copy) สามารถช่วยองค์กรในการเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายฐานข้อมูล นวัตกรรมเหล่านี้จะสร้างความแตกต่างให้กับระบบปฏิบัติการขององค์กรที่ประกอบด้วย Autonomous Agent มนุษย์ และ AI ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จของลูกค้าให้เติบโตในวงกว้าง” ธิติรัตน์ กล่าว

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว เซลส์ฟอร์ซ พัฒนา “Agentforce” ขึ้น โดยเป็นเทคโนโลยี Autonomous AI Agent ที่มีความสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรในหลายด้าน ทั้งบริการ การขาย การตลาด และการพาณิชย์ ระบบนี้ช่วยให้บริษัทสามารถปรับขนาดกำลังคนได้อย่างยืดหยุ่นตามความต้องการ โดย AI Agent สามารถวิเคราะห์ข้อมูล ตัดสินใจ และปฏิบัติงานได้อย่างไม่จำกัด

Agentforce ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มเซลส์ฟอร์ซ และ Data Cloud เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ยังมี Einstein Trust Layer ที่ช่วยรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ทำให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จาก Generative AI ได้อย่างมั่นใจ

“เราสามารถผสานเชื่อมโยงข้อมูลขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายฐานข้อมูล ด้วยการใช้นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เช่น การคัดลอกข้อมูลเป็นศูนย์หรือ Zero Copy เทคโนโลยีเหล่านี้จะสร้างความแตกต่างให้กับระบบการปฏิบัติการของ‎แต่ละองค์กรที่ประกอบด้วย Autonomous Agent มนุษย์ และ AI ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จของลูกค้าให้เติบโตเพิ่มมากยิ่งขึ้นได้ในระดับวงกว้าง” ธิติรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย

โดยเธอยังเสริมอีกว่า ในอนาคต คาดว่าเทคโนโลยี AI จะมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน IT (44%) และการปฏิบัติการ (30%) รวมถึงฝ่ายบริการลูกค้า (26%) และฝ่ายขาย (23%)

ท้ายที่สุด ผลวิจัยจากเซลส์ฟอร์ซสะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริหารไทยกำลังตื่นตัวและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกธุรกิจ แม้จะยังมีความท้าทาย แต่ก็ชัดเจนว่า AI จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและความสำเร็จขององค์กรในอนาคตอันใกล้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน การพัฒนาทักษะของบุคลากร และรูปแบบการให้บริการลูกค้าที่จะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ

แหล่งข้อมูล

https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1148649