เมื่อ “ดาวเทียม” กลายเป็นอาวุธทางภูมิรัฐศาสตร์

Share

Loading

การแข่งขันในการติดตั้งกลุ่มดาวเทียมทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เมื่อประเทศต่างๆ เร่งเข้าครอบครองพื้นที่ในอวกาศ และได้ขยายขอบเขตเกินกว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสื่อสารและอินเทอร์เน็ต กลายเป็นศึกแห่งภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบทั้งด้านความมั่นคง การทูต และอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก

ด้วยเงินลงทุนมหาศาลหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากทั้งรัฐบาลประเทศมหาอำนาจและบริษัทยักษ์ใหญ่ การต่อสู้ในครั้งนี้มีเดิมพันสูงยิ่งกว่าเดิม เพราะการควบคุมเทคโนโลยีดาวเทียมไม่ได้หมายถึงแค่การเชื่อมต่อระดับโลก แต่ยังรวมถึงการกำหนดอนาคตของกลยุทธ์ทางทหาร การตรวจสอบสภาพอากาศ และอีกมากมาย

การแข่งขันทางอวกาศครั้งใหม่

กลุ่มดาวเทียม ซึ่งเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ของดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำของโลก มีแนวโน้มที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ โดยให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และการสื่อสารที่ดีขึ้น บริษัทชั้นนำต่างๆ เช่น SpaceX (Starlink), Amazon (Project Kuiper) และ Eutelsat (OneWeb) กำลังเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในภาคการพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของประเทศต่างๆ รวมถึงรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย และสหภาพยุโรป ก็ตามหลังมาไม่ไกล โดยตระหนักถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของโครงสร้างพื้นฐานดาวเทียม

การแข่งขันทางอวกาศครั้งใหม่นี้ไม่ใช่แค่เรื่องของนวัตกรรมเท่านั้น แต่ดาวเทียมถือเป็นส่วนสำคัญของปฏิบัติการทางทหารสมัยใหม่ ตั้งแต่การรวบรวมข่าวกรองและการเฝ้าระวัง ไปจนถึงการนำทางและการนำวิถีขีปนาวุธ ในขณะที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน บทบาทของเครือข่ายดาวเทียมในความมั่นคงแห่งชาติจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญ ระบบนำทาง BeiDou ของจีนและ GLONASS ของรัสเซียต่างก็ทำหน้าที่เป็นตัวถ่วงดุลกับระบบ GPS ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของความเป็นอิสระของดาวเทียมในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งเขม็งเกลียวมากขึ้นทุกขณะ

สนามรบทางภูมิรัฐศาสตร์

สำหรับหลายประเทศ การควบคุมเครือข่ายดาวเทียมนั้นหมายถึงการควบคุมข้อมูลและการมีอิทธิพลเหนือประเทศอื่น ประเทศที่มีกลุ่มดาวเทียมขั้นสูงสามารถกำหนดรูปแบบการสื่อสารระหว่างประเทศ ตรวจสอบกิจกรรมทั่วโลก และควบคุมระบบนำทางที่สำคัญได้ ความสามารถนี้มีค่าอย่างยิ่งไม่เพียงแต่สำหรับปฏิบัติการทางทหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตอบสนองต่อภัยพิบัติ การตรวจสอบสิ่งแวดล้อม และการจัดการโครงสร้างพื้นฐานอีกด้วย

ความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์อาจเห็นได้ชัดเจนที่สุดจากการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน รัฐบาลสหรัฐอเมริกามองว่าโครงสร้างพื้นฐานดาวเทียมของจีนที่ขยายตัวอย่างโดดเด่นนั้นเป็นความท้าทายโดยตรง ในทางกลับกัน ผู้นำของจีนมองว่าโครงการดาวเทียม เช่น BeiDou และระบบ China SatNet ที่วางแผนไว้ ถือเป็นสิ่งจำเป็นในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศและยืนยันอิทธิพลของจีนในระบบโทรคมนาคมทั่วโลก

ด้านรัสเซียเองก็กำลังพัฒนาขีดความสามารถของดาวเทียมอย่างจริงจังเช่นกัน โดยมุ่งหวังที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติและเสริมอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ สหภาพยุโรปซึ่งตามหลังสหรัฐอเมริกาและจีนในการแข่งขันกำลังพัฒนาระบบ Galileo ซึ่งมุ่งหวังที่จะสร้างเอกราชของยุโรปในการนำทางและการสื่อสาร
ผู้เล่นเชิงพาณิชย์และการเชื่อมต่อทั่วโลก

แม้ว่าการแข่งขันส่วนใหญ่จะมีนัยทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่กิจการเชิงพาณิชย์ก็มีบทบาทสำคัญในการขยายเครือข่ายดาวเทียมทั่วโลก

อินโฟกราฟิกโดย Statista เผยให้เห็นว่า Starlink ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 มีดาวเทียมให้บริการมากกว่า 6,300 ดวง ในช่วงต้นเดือนกันยายน จากจำนวน 12,000 ดวงที่อยู่ในแผนเปิดการตัว (หรืออาจถึง 40,000 ดวงตามประกาศการขยายเวลาโครงการ) โดยมุ่งหวังที่จะให้บริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ไม่ได้รับบริการเพียงพอ ในขณะเดียวกัน Amazon วางแผนที่จะส่งดาวเทียมมากกว่า 3,200 ดวง ขึ้นสู่วงโคจร อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Kuiper ซึ่งเป็นโครงการคู่แข่งของ Starlink จากสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน โดยสัญญาว่าจะนำอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วและเชื่อถือได้มาสู่ผู้คนนับล้านทั่วโลก โดยหลังจากการเปิดตัวต้นแบบสองดวงสำเร็จเมื่อปีที่แล้ว บริษัทข้ามชาติแห่งนี้วางแผนที่จะส่งดาวเทียมเชิงพาณิชย์ดวงแรกสำหรับโครงการนี้ในปี 2025

ในส่วนอื่นๆ ของโลก จีนยังเริ่มดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมขนาดใหญ่อีกด้วย เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2024 บริษัท Shanghai Spacecom Satellite Technology (SSST) ของรัฐ ได้ส่งดาวเทียม 18 ดวงแรกในกลุ่มดาวเทียม Qianfan ขึ้นสู่อวกาศ ซึ่งอาจรวมถึงดาวเทียมมากกว่า 15,000 ดวง ภายในปี 2030 Geespace ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Geely ผู้ผลิตยานยนต์ของจีน ได้ประกาศว่าโครงการของตนมีดาวเทียมอยู่ในวงโคจรเมื่อต้นเดือนกันยายน 2024 แล้ว 30 ดวง จากจำนวนที่วางแผนไว้เกือบ 6,000 ดวง

ในยุโรป Eutelsat ผู้ให้บริการดาวเทียมของฝรั่งเศส เข้าสู่ตลาดบรอดแบนด์แบบคงที่และแบบเคลื่อนที่ในช่วงปลายปี 2019 ด้วยการเข้าซื้อกิจการ OneWeb กลุ่มดาวเทียมในวงโคจรต่ำ ของอังกฤษ ซึ่งจะมีดาวเทียมโทรคมนาคมมากกว่า 600 ดวง ภายในปี 2024 ปัจจุบัน Eutelsat ดำเนินการฝูงดาวเทียมที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจาก SpaceX

ในส่วนของสหภาพยุโรปกำลังดำเนินการปรับใช้กลุ่มดาวเทียมบรอดแบนด์ที่เป็นอิสระ โครงการนี้ชื่อว่า Iris2 ประกอบด้วยดาวเทียม 300 ดวง ได้เข้าสู่การหารือของคณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้ได้นำมาซึ่งความกังวลหลายด้าน ทั้งเรื่องความเสี่ยงจากการชนกันของดาวเทียมที่เพิ่มจำนวนขึ้นในวงโคจร เศษซากอวกาศที่อาจเกิดขึ้น และความยั่งยืนในระยะยาว อีกทั้งการลงทุนมหาศาลในการสร้างและบำรุงรักษากลุ่มดาวเทียมยังสร้างข้อสงสัยว่าทุกบริษัทจะสามารถรักษาการลงทุนระยะยาวได้หรือไม่

แต่ที่แน่ๆ ประโยชน์ที่เป็นไปได้ของระบบดาวเทียมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลกอาจกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการพัฒนาในภูมิภาคห่างไกล ทำให้ช่องว่างทางดิจิทัลลดลง นอกจากนี้ ข้อมูลดาวเทียมที่ได้รับการปรับปรุงอาจช่วยปรับปรุงการพยากรณ์อากาศ การจัดการด้านการเกษตร และการปกป้องสิ่งแวดล้อม

ข้อกังวลด้านความปลอดภัยและการเปลี่ยนแปลงของอำนาจทั่วโลก

เมื่อกลุ่มดาวเทียมขยายตัวเพิ่มขึ้นขึ้น ข้อกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัยในอวกาศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดาวเทียมมีความเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์ สัญญาณรบกวน และแม้แต่การทำลายล้างทางกายภาพ ในปี 2021 การทดสอบขีปนาวุธต่อต้านดาวเทียมของรัสเซียซึ่งทำให้เกิดเศษซากอันตรายในอวกาศได้เน้นย้ำถึงความเสี่ยงของการนำเครือข่ายดาวเทียมมาใช้เป็นอาวุธ

ปฏิบัติการทางทหารในอวกาศที่เพิ่มมากขึ้นนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการอวกาศระหว่างประเทศมากขึ้น ขณะที่สนธิสัญญาที่มีอยู่ เช่น สนธิสัญญาอวกาศภายนอกในปี 1967 ถือว่าล้าสมัยในการแก้ไขปัญหาความซับซ้อนของกลุ่มดาวเทียมและการใช้อวกาศทางทหาร จึงมีการเรียกร้องให้มีการปรับปรุงกฎระเบียบและข้อตกลงมากขึ้น แต่ความแตกแยกทางการทูตระหว่างประเทศ โดยเฉพาะระหว่างมหาอำนาจของโลก ทำให้การบรรลุฉันทามติทำได้ยาก

สาเหตุที่ทำให้ประเทศมหาอำนาจแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตายในสมรภูมิรบแห่งใหม่

ความมั่นคงและอำนาจอธิปไตยของชาติ : ประเทศต่างๆ เริ่มตระหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการควบคุมการสื่อสารผ่านดาวเทียมสามารถส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติได้ เห็นได้ชัดว่าโครงการ Iris2 ของสหภาพยุโรปสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะเป็นอิสระทางเทคโนโลยีจากบริษัทต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา

อิทธิพลระดับโลก : เห็นได้ชัดว่าจีนกำลังใช้ประโยชน์จากโครงการดาวเทียมเพื่อขยายอิทธิพลไปทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคที่การเชื่อมต่อมีจำกัด ซึ่งสามารถช่วยเพิ่ม Soft Power ของจีนได้ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ได้รับการปรับปรุง

ความท้าทายด้านกฎระเบียบ : จากการที่จำนวนดาวเทียมเพิ่มขึ้นมหาศาล ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเศษซากในอวกาศและการชนกันที่อาจเกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องมีกรอบการกำกับดูแลระหว่างประเทศเพื่อจัดการความเสี่ยงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในขณะที่ประเทศต่างๆ ต้องใช้พื้นที่โคจรร่วมกัน

โอกาสทางเศรษฐกิจ : ความสามารถในการให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลกจะเปิดตลาดและโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ประเทศที่สร้างเครือข่ายดาวเทียมที่แข็งแกร่งอาจได้รับความได้เปรียบทางการแข่งขันในภาคส่วนต่างๆ เช่น โทรคมนาคมและบริการข้อมูล

ชัดเจนแล้วว่า อวกาศจะไม่ใช่พื้นที่แห่งการสำรวจอีกต่อไป แต่จะกลายมาเป็นสนามรบสุดท้ายที่จะแข่งขันกันอย่างรุนแรงในการวบคุมข้อมูล ความปลอดภัย และอำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกมุมของชีวิตบนโลก

แหล่งข้อมูล

https://www.salika.co/2024/10/19/satellites-constellation-geopolitical/