ประเทศไทยมีอาหารส่วนเกินมากถึงเกือบ 4 ล้านตันต่อปี ขณะที่มีประชากรรายได้น้อยและผู้ประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารคุณภาพมีมากถึง 3.8 ล้านคน ตั้งแต่ปี 2559 มูลนิธิ SOS Thailand หรือ Scholars of Sustenance Foundation, Thailand ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ต้องการบริจาคอาหารกับผู้ต้องการรับบริจาคอาหาร เพื่อช่วยบรรเทาความหิวโหยและแก้ไขปัญหาอาหารส่วนเกินซึ่งเป็นตัวการสำคัญของปัญหาโลกร้อน
ปัจจุบันมูลนิธิได้ช่วยส่งต่ออาหารไปแล้วกว่า 9.8 ล้านกิโลกรัมหรือคิดเป็น 41.3 ล้านมื้ออาหาร โดยส่งมอบให้แก่ชุมชนมากกว่า 3,750 แห่ง ช่วยลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการฝังกลบได้เกือบ 25,000 ตัน (ตามการรายงานของ SOS Thailand) โดยอาหารส่วนเกิน (Food surplus) เป็นอาหารที่เกินจากความต้องการของเรา ถึงแม้จะสามารถนำไปบริโภคต่อได้ แต่คนส่วนมากเลือกที่จะ “ทิ้ง” เช่น ผัก ผลไม้ที่ถูกตัดแต่งเพื่อความสวยงาม หรืออาหารกระป๋องที่เราทิ้งไปโดยที่ยังไม่หมดอายุ
แม้ว่าปริมาณอาหารที่ถูกผลิตขึ้นบนโลกจะมีจำนวนมากจนบางส่วนกลายเป็นขยะอาหาร แต่มีผู้คนทั่วโลกกว่า 830 ล้านคน กำลังเผชิญกับความอดอยากและขาดสารอาหาร องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) ระบุว่า หากลดปริมาณอาหารเน่าเสียหรือเหลือทิ้งทั่วโลกลงได้ร้อยละ 25 จะสามารถเลี้ยงดูผู้คนได้อีก 870 ล้านคน ทำให้หลายประเทศตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อโลกและผู้คน และได้ดำเนินการในหลายมิติตลอดห่วงโซ่อุปทาน ผ่านการดำเนินการทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนส่งเสริมให้ครัวเรือนมีส่วนร่วม
ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ SOS Thailand ดำเนินงานได้สะดวกและรวดเร็ว มีความพร้อมที่จะขยายการดำเนินงานไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่ยังคงต้องการความช่วยเหลือมากยิ่งขึ้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม AI ช่วยแนะนำการจับคู่ความต้องการระหว่างผู้บริจาคกับผู้ขอรับบริจาคอาหารแบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยลดภาระและเวลาการทำงานให้แก่เจ้าหน้าที่ โดยการวิจัยและพัฒนานี้ได้รับการสนับสนุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
ดร.นันทพร รติสุนทร นักวิจัยทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ เนคเทค สวทช. เล่าว่า
“ทีมวิจัยได้นำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญเรื่องการออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะที่ได้จากการพัฒนาระบบ Thai School Lunch หรือระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนแบบอัตโนมัติที่เปิดให้บริการแก่สถานศึกษาทั่วประเทศไทย มาต่อยอดพัฒนาสู่แพลตฟอร์มจับคู่ความต้องการระหว่างผู้บริจาคกับผู้ขอรับบริจาคอาหารแบบอัตโนมัติ”
“กลไกหลักคือเมื่อผู้บริจาค เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารขนาดใหญ่ ยื่นความประสงค์บริจาคอาหารผ่าน Cloud Food Bank หรือช่องทางรับบริจาคต่างๆ ของ SOS Thailand ระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ประเภทอาหาร ปริมาณอาหาร ปริมาณความต้องการอาหาร (คำนวณจากจำนวนผู้ต้องการอาหารจากแต่ละชุมชน) รวมถึงข้อจำกัดด้านการขนส่งของ SOS Thailand โดยอัตโนมัติ จากนั้น AI จะวิเคราะห์และแนะนำตัวเลือกการจัดสรรอาหารบริจาค พร้อมตารางเส้นทางรับส่งอาหาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจบริหารจัดการอาหารบริจาคแต่ละวันได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ”
ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาแพลตฟอร์มนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนทดสอบใช้งานร่วมกับมูลนิธิ SOS Thailand ซึ่งคาดว่าจะพร้อมใช้งานเต็มรูปแบบภายในสิ้นปีนี้ ระบบนี้จะช่วยสนับสนุนให้ทีม SOS Thailand ขยายผลการดำเนินงานไปยังนอกพื้นที่บริการหลัก 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ และนครราชสีมาได้ง่ายยิ่งขึ้น (การขยายผลมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาหลายด้าน แพลตฟอร์มที่ทีมวิจัยช่วยพัฒนาเป็นเพียงปัจจัยสนับสนุนหนึ่งเท่านั้น)
นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีแผนพัฒนาต่อยอดแพลตฟอร์ม AI นี้ให้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการอาหารบริจาคไปยังกลุ่มคนเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ โดยจะร่วมกับโครงการ BKK Food Bank ของกรุงเทพมหานคร ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรอาหารบริจาคทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง
ดร.นันทพร เล่าต่อว่า “นอกจากเทคโนโลยีข้างต้น ทีมวิจัยยังได้พัฒนาระบบสร้างแคมเพนบริจาคอาหาร ซึ่งจะเปิดรับบริจาคอาหารจากทั้งจากผู้ประกอบการรายใหญ่ รายย่อย รวมถึงประชาชนทั่วไปในพื้นที่ที่มีความต้องการอาหารแบบเฉพาะกิจ เพื่อให้ได้ปริมาณอาหารประเภทที่ต้องการมากเพียงพอสำหรับจัดส่งให้แก่ผู้ที่มีความต้องการอาหารเหล่านั้นอย่างเร่งด่วน เช่น ผู้ประสบภัยธรรมชาติ”
“ในขั้นตอนถัดไปของการดำเนินงาน ทีมวิจัยยังมีแผนที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการขยายการดำเนินงานของ SOS Thailand ให้ครอบคลุมไปยังพื้นที่เมืองรอง ภายใต้แผนการจัดตั้ง National Food Bank และในอนาคตจะพัฒนาแพลตฟอร์มนี้ให้มุ่งเน้นการจัดสรรอาหารบริจาคตามหลักโภชนาการที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะให้แก่ผู้รับบริจาคอาหารในแต่ละพื้นที่ และยังเป็นการส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถในการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
“การพัฒนาและการใช้งานระบบ Cloud Food Bank รวมถึงแพลตฟอร์ม AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ทั้งค่าอุปกรณ์โครงสร้างพื้นฐาน ค่าเช่าพื้นที่คลาวด์ ค่าสาธารณูปโภค ค่าซ่อมบำรุง และค่าบริหารจัดการ ดังนั้น SOS Thailand จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปเพื่อให้ดำเนินภารกิจต่อไปได้ในระยะยาว และยังเป็นหนึ่งในกลไกสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 2 การขจัดความหิวโหย และเป้าหมายที่ 12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน” ดร.นันทพร กล่าวทิ้งท้าย
แหล่งข้อมูล
https://www.salika.co/2024/10/24/ai-platform-food-surplus-solution/