หลายๆ คนอาจเคยได้ยินว่า ‘ทำงานกับเด็ก Gen Z ลำบาก’ รู้ไหมเป็นเพราะอะไร?
มาเริ่มกันที่การจำแนก Generation ที่เราสามารถพบเจอได้ในช่วงวัยทำงาน หลักๆ จะแบ่งออกเป็น 3 Gen ได้แก่
- Gen X (เกิดระหว่างปี 1965-1979)
- Gen Y (เกิดระหว่างปี 1980-1997)
- Gen Z น้องเล็ก (เกิดระหว่างปี 1998-2024)
ทั้งนี้พบว่ายังมีคนที่อายุระหว่าง 58-60 ปี หรืออยู่ใน Gen Baby Boomers ยังคงทำงานอยู่ด้วยในบางส่วน
บางครั้งเราอาจพบเห็นว่า คนที่อายุมากกว่ามักบ่นเด็กอายุน้อย หรือบางทีเด็กอายุน้อยเองก็บ่นคนที่โตว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทัศนคติที่ไม่ตรงกัน ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง บางคนอาจมองว่าสิ่งนี้ดี แต่บ้างก็โดนแย้งว่าทำไมไม่ทำให้เหมือนคนอื่น ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะคำว่า ‘Generation gap’ ที่ส่งผลให้คนแต่ละ Gen มีชุดความคิดที่แตกต่างกัน ขณะที่โลกมีการพัฒนาขึ้น ทั้งความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี สังคม เศรษฐกิจ และสถาบันการศึกษา ทำให้ทุกอย่างมีการปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น
เด็ก Gen Z มักเป็น Gen ที่ถูกจับตามองในสังคมการทำงาน ทั้งเรื่องการศึกษาที่เป็นเด็กจบใหม่สดๆ ร้อนๆ ประสบการณ์ก็อาจจะยังไม่มีเท่าคนอื่นที่ทำงานมาเป็นเวลานาน ทำให้มักเกิดข้อคำถามว่า ทำไมเด็ก Gen Z ถึงทำงานสไตล์นี้ ทำไมถึงมีชุดความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ
เปิดชุดความคิด 8 หัวใจสำคัญ (values) ที่เด็ก Gen Z กำลังคาดหวังจากการทำงานกัน ว่าเหตุใดเด็ก Gen Z ที่โตมากับชุดความคิดใหม่ ค่านิยมใหม่ในสังคม แถมยังเป็น Gen ที่เติบโตขึ้นพร้อมการพัฒนาของเทคโนโลยีต่างๆ มาร่วมทำความเข้าใจ 8 หัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ทำงานร่วมกับเด็ก Gen Z ง่ายขึ้น ไปพร้อมกัน
1.การทำงานที่สั้นแต่มีประสิทธิภาพ: Gen Z ให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน อาจพบว่า Gen Z มักเรียนรู้ และหา short cut ให้ตนเอง เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ทำให้มีเวลาที่เขาจะสามารถสร้างประโยชน์ด้านอื่นๆ ให้กับตัวเองได้ หรือที่เรียกกันว่า ‘Work-Life Balance’
2.การทำงานเป็นทีม: Gen Z ไม่ค่อยยึดติดกับลำดับขั้นในองค์กร ชอบการทำงานร่วมกันเป็นทีมมากกว่าการมีผู้นำที่ยึดถืออำนาจสูงสุด เพราะมองว่าจะช่วยให้เกิดการระดมความคิด อันจะส่งผลให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
3.การปรับตัว: ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคมที่รวดเร็ว พวกเขาคาดหวังให้สถานที่ทำงานมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เพื่อให้ก้าวทันกับความรวดเร็วของสังคมสมัยใหม่
4.การเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด: Gen Z คาดหวังให้บริษัทมีการเทรนชุดความรู้ใหม่ๆ แม้จะอยู่ในสถานะวัยทำงาน แต่ก็เชื่อว่าเรื่องของการฝึกอบรมหรือโอกาสในการพัฒนาตนเองเป็นสิ่งสำคัญ
5.ความชัดเจนและโปร่งใส: Gen Z ต้องการการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา หากเกิดปัญหาก็ควรมีการฟีดแบ็กกันได้อย่างตรงไปตรงมา เพื่อทำให้ปัญหาจบไวและสามารถดำเนินการต่อได้อย่างรวดเร็ว
6.การทำงานที่ยืดหยุ่น: Gen Z ให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน พวกเขาเติบโตในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี ซึ่งทำให้การทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible work) และการทำงานจากที่บ้าน (Remote work) ถือเป็นเรื่องปกติ
7.คุณค่าที่ควรได้รับ: จริงอยู่ที่ Gen Z มักให้ความสำคัญกับกระบวนการ แต่ทั้งนี้ Gen Z เอง ก็ให้ความสำคัญกับการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น และยิ่งไปกว่านั้นคือการมองเห็นคุณค่าของตนเองจากงานที่กำลังทำว่าสามารถสร้าง values ให้กับองค์กรได้มากน้อยเพียงใด
8.ความคาดหวัง: เนื่องจากความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลง Gen Z มักได้รับอิทธิพลของความรวดเร็วนั้นมาด้วย จนบางครั้งบางทีก็เกิดการตั้งความคาดหวังกับตนเองที่สูง จนกลายเป็นความรู้สึกกดดัน ทั้งนี้อาจทำการชี้แจงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ปัญหานี้ก็จะสามารถคลี่คลายลงได้
จากความคาดหวังทั้ง 8 หัวข้อที่ได้กล่าวมาข้างต้น หากได้ทำความเข้าใจสิ่งที่เด็ก Gen Z คาดหวังไว้แล้ว แม้องค์กรอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน แต่ก็เชื่อว่าในการปรับเปลี่ยนนั้นเป็นการเปลี่ยนเพื่อให้ก้าวทันยุคสมัย อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่อง Generation gap ในทุกองค์กรสามารถแก้ไขได้ โดยการสื่อสารและทำความเข้าใจกันอย่างตรงไปตรงมา จุดใดที่มองไม่ตรงกันก็ควรถูกหยิบยกมาพูดถึงกันด้วยเหตุและผล จะช่วยให้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้คลี่คลายลงได้ และจะส่งผลให้สามารถร่วมงานกันได้อย่างราบรื่น
ในท้ายที่สุด Gen Z ก็คาดหวังให้องค์กรที่พวกเขาทำงานอยู่มีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น แม้ในเชิงของความคิดหรือทัศนคติที่อาจแตกต่างกัน แต่เชื่อว่า หากมีการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา Gen Z จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ที่คุณอาจคาดไม่ถึง
แหล่งข้อมูล
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1182212330133768&set=a.811136570574681