นักวิเคราะห์ถกเข้ม! DeepSeek กับบทพิสูจน์ว่า AI ใช้งบน้อยได้จริงหรือแค่ชั่วคราว

Share

Loading

DeepSeek จุดกระแสถกเถียง: จำเป็นจริงหรือที่ต้องใช้งบมหาศาลในการพัฒนา AI? ในเมื่อสตาร์ตอัปจากจีนสร้างผลงานเทียบชั้น GPT-4 ด้วยต้นทุนเพียง 5% ของเอไอในซิลิคอนวัลเลย์

ทั่วโลกกำลังจับตามองปรากฏการณ์ของ “ดีปซีก” (DeepSeek) สตาร์ตอัปด้านปัญญาประดิษฐ์สัญชาติจีน ซึ่งได้พัฒนาโมเดลที่มีชื่อว่า DeepSeek R1 แบบเปิดต้นฉบับ (Open Source) ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ใช้ทรัพยากรน้อย

การพัฒนานี้ได้สร้างความปั่นป่วนให้ตลาดหุ้นเทคโนโลยีอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ที่ราคาหุ้นดิ่งลงถึง 13% ในเพียงวันเดียว (27 ม.ค.) ส่งผลให้มูลค่าตลาดหายไปเกือบ 4 แสนล้านดอลลาร์ และในเช้าวันถัดมา (28 ม.ค.) ก็ยังสูญเสียมูลค่าเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์

จากเอกสารที่บริษัทเปิดเผย R1 ใช้ชิปประมวลผลของอินวิเดียเพียงแค่ 10% เมื่อเทียบกับจำนวนที่โอเพนเอไอ (OpenAI) ใช้ในการฝึกฝนโมเดล GPT-4 โดยอาศัยการปรับปรุงอัลกอริทึมและวิธีการฝึกฝนแบบมุ่งเป้า ส่งผลให้ใช้งบประมาณในการพัฒนาเพียง 5.58 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต่างจาก GPT-4 ของโอเพนเอไอที่ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์ ทั้งที่โมเดลทั้งสองมีความสามารถใกล้เคียงกัน

อเล็กซานเดอร์ หวัง (Alexander Wang) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Scale AI ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการข้อมูลสำหรับการฝึกฝนปัญญาประดิษฐ์แก่บริษัทชั้นนำอย่าง OpenAI, Google และ Meta ได้กล่าวในการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอสว่า R1 มีศักยภาพในการแข่งขันกับโมเดล o1 ที่ OpenAI เพิ่งเปิดตัว

สื่อตะวันตกหลายสำนักมีความเห็นว่า ความก้าวหน้าล่าสุดของโมเดลขนาดใหญ่จากประเทศจีนได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนไปยังซิลิคอนวัลเลย์ โดยสำนักข่าว Financial Times ได้นำเสนอบทวิเคราะห์เชิงลึกในหัวข้อ How small Chinese AI start-up DeepSeek shocked Silicon Valley ซึ่งตั้งคำถามสำคัญว่า บริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ของสหรัฐจะยังสามารถรักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยีของตนเอาไว้ได้หรือไม่

เว็บไซต์ Life Science ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้วิเคราะห์ว่า มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐที่จำกัดการเข้าถึงชิปคอมพิวเตอร์ด้านปัญญาประดิษฐ์ประสิทธิภาพสูงสำหรับบริษัทจีนนั้น กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้ทีมพัฒนา R1 ต้องคิดค้นอัลกอริทึมที่ชาญฉลาดและประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น เพื่อทดแทนข้อจำกัดด้านกำลังการประมวลผล

รายงานยังได้เปิดเผยข้อมูลเปรียบเทียบว่า ในขณะที่ ChatGPT ต้องใช้จีพียูของอินวิเดียถึง 10,000 หน่วยในการประมวลผลข้อมูลฝึกฝน แต่วิศวกรของ DeepSeek กลับสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกันด้วยจีพียูเพียง 2,000 หน่วยเท่านั้น

ความแตกต่างดังกล่าวได้นำมาสู่คำถามในแวดวงเทคโนโลยีว่า “การลงทุนมหาศาลในด้านฮาร์ดแวร์เพื่อพัฒนาปัญญาประดิษฐ์นั้นมีความจำเป็นจริงหรือไม่?”

ประเด็นนี้ยิ่งจุดชนวนให้ถกเถียงเมื่อพิจารณาแผนการลงทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ในซิลิคอนวัลเลย์ ที่กำลังทุ่มเทงบประมาณมหาศาล โดยบริษัทเมตา (Meta) ได้ประกาศงบลงทุนมูลค่ามหาศาลถึง 65,000 ล้านดอลลาร์สำหรับปี 2025

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาก็ได้ประกาศความร่วมมือระหว่าง OpenAI, Oracle และ SoftBank เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ของสหรัฐ ภายใต้โครงการชื่อ Stargate ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 100 พันล้านดอลลาร์ และอาจเพิ่มสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า

มาร์ค แอนดรีเซน (Marc Andreessen) นักลงทุนผู้มีชื่อเสียง ได้เปรียบเทียบสถานการณ์นี้กับ “สปุตนิกโมเมนต์” ของวงการปัญญาประดิษฐ์ ด้านดีแลน พาเทล (Dylan Patel) นักวิเคราะห์ชิปจากบริษัท SemiAnalysis มองว่า การที่ต้นทุนในการฝึกฝนโมเดลปัญญาประดิษฐ์ลดลงนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญที่เปิดทางให้บริษัทขนาดเล็กและประเทศกำลังพัฒนาได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์นวัตกรรมมากยิ่งขึ้น

ยันน์ เลอคุน (Yann LeCun) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านปัญญาประดิษฐ์ของบริษัทเมตา ได้ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของ DeepSeek แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโอเพนซอร์ส ที่อาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายเล็กสามารถแข่งขันได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล โดยมองว่านี่อาจเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญให้บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐต้องปรับตัว

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนยังคงแสดงความไม่เชื่อมั่นต่อตัวเลขต้นทุนที่ DeepSeek นำเสนอ และยังคงมีมุมมองว่าการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ต้องอาศัยทรัพยากรการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมองว่าตลาดอาจมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ

ด้านสถาบันวิจัยเบิร์นสไตน์ได้วิพากษ์ว่า “การอ้างว่าจีนสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่า OpenAI ด้วยงบประมาณเพียง 5 ล้านดอลลาร์นั้น อาจเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล”

ในขณะที่ เอ็ด ยาร์ดีนี (Ed Yardeni) จากบริษัท Yardeni Research ได้แสดงความกังวลว่า ความสำเร็จของ DeepSeek อาจกลายเป็น “ข่าวร้าย” สำหรับบริษัทที่หวังจะครองตลาดปัญญาประดิษฐ์ด้วยการนำเสนอบริการที่มีราคาสูง

แหล่งข้อมูล

https://www.bangkokbiznews.com/tech/1164060