Halliday เผยโฉมแว่นตาอัจฉริยะเทคโนโลยี DigiWindow

Share

Loading

Halliday เผยโฉมแว่นตาอัจฉริยะเทคโนโลยี DigiWindow ปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงแบบไร้เลนส์

ตลาดแว่นตา AI กำลังเฟื่องฟู โดย IDC (International Data Corporation) สถาบันวิจัยตลาดและที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกด้านเทคโนโลยีดิจิทัลคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของตลาดนี้จะสูงกว่า 30% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า แม้โอกาสในตลาดจะสดใส แต่ผลิตภัณฑ์ปัจจุบันยังเผชิญปัญหาเรื่องการออกแบบที่เทอะทะ ไม่น่าดึงดูดใจ และยังไม่เข้ากับการใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ แต่ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี DigiWindow กำลังจะพลิกโฉมตลาดนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

จุดเด่นของ DigiWindow คือระบบแสดงผลที่มองเห็นได้เฉพาะผู้สวมใส่ ด้วยการออกแบบออปติกสุดล้ำที่รักษาความเป็นส่วนตัว อีกทั้งยังรองรับการติดตั้งกับแว่นหลากหลายสไตล์ ทั้งแว่นสายตาและแว่นแฟชั่น นอกจากนี้ DigiWindow ยังเหนือกว่าคู่แข่งอย่าง Optical Waveguide ในด้านน้ำหนัก ขนาด การรั่วไหลของแสง และต้นทุน ช่วยสร้างประสบการณ์การใช้งานที่สะดวก คุ้มค่า และตอบโจทย์ชีวิตประจำวันได้จริง

เทคโนโลยี DigiWindow จึงเป็นการก้าวกระโดดของแว่นตาอัจฉริยะที่ผสานการใช้งานของความจริงเสริม (AR) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยความสามารถในการแสดงผลใกล้ตาที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ซึ่งทำให้แว่นตาที่มาพร้อมเทคโนโลยีนี้สามารถติดตั้งในกรอบแว่นธรรมดาได้อย่างลงตัวโดยไม่ทำให้เกิดความเทอะทะหรือเปลี่ยนแปลงดีไซน์แต่อย่างใด ขนาดที่เพียงแค่ 0.1 ซีซี ทำให้ DigiWindow เป็นเทคโนโลยีที่มีความกะทัดรัดและเบาอย่างไม่น่าเชื่อ

หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของ DigiWindow คือการให้ประสบการณ์การรับชมที่เป็นส่วนตัวและไม่เปิดเผยให้คนอื่นเห็น ข้อมูลทั้งหมดจะแสดงเฉพาะผู้สวมใส่เท่านั้น ด้วยการออกแบบที่ไม่ใช้เลนส์แบบเดิม ทำให้สามารถลดปัญหาการรั่วไหลของแสงและเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้แว่นตาใช้งานได้สะดวกและไม่ทำให้หนักเกินไป

การใช้งานของ DigiWindow ก็ไม่ใช่แค่การแสดงผลข้อมูลเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกดิจิทัลผ่านการสัมผัสหรือคำสั่งเสียง รวมถึงการได้รับข้อมูลที่อัปเดตในทันทีไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย ทำให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมประจำวันได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งนี้ DigiWindow ยังรองรับการแสดงข้อมูลนำทางตามตำแหน่ง GPS และสามารถใช้สำหรับการประชุมออนไลน์หรือฝึกอบรมจากระยะไกล โดยผู้ใช้สามารถแชร์หน้าจอและได้รับคำแนะนำแบบเรียลไทม์จากผู้เชี่ยวชาญ

DigiWindow ยังเสริมด้วยการผสาน AI ที่ทำหน้าที่เสมือน “สมองที่สอง” ให้กับผู้ใช้ โดยมีฟีเจอร์ที่สามารถตอบสนองต่อคำสั่งเสียงและแปลภาษาแบบทันที สร้างประสบการณ์ใช้งานที่หลากหลายและใช้งานได้ในชีวิตประจำวันทั้งในด้านส่วนตัวและอาชีพการงาน

ล่าสุด Halliday บริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีสวมใส่ระดับโลก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดย GYGES Labs ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไมโครออปติกและ AI และแบรนด์ moody ซึ่งเป็นผู้นำในวงการแว่นตาแฟชั่นและคอนแทคเลนส์ ได้เผยโฉมแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี DigiWindow ภายในงาน CES 2025 ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถฉายภาพขนาด 3.5 นิ้ว ตรงสู่สายตาผู้ใช้งาน โดยไม่ต้องอาศัยเลนส์เสมือนจริงแบบเดิม ภาพที่ปรากฏมีความเสถียรแม้ในสภาพแสงจ้า และไม่มีปัญหาแสงรั่วหรือภาพบิดเบือนเหมือนเทคโนโลยีในอดีต

“DigiWindow ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยวิศวกรระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เป็นโมดูลจอแสดงผลใกล้ตาที่เล็กที่สุดและเบาที่สุดในโลก ติดตั้งที่ส่วนบนขวาของกรอบแว่นและสามารถฉายข้อมูลในขอบเขตการมองเห็นตามธรรมชาติของผู้ใช้โดยไม่รบกวนมุมมองหลัก” ข้อมูลระบุในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Halliday

พร้อมกันนี้บริษัทได้ประกาศชัดเจนว่านวัตกรรมนี้เป็น “แว่นตา Proactive AI รุ่นแรกของโลก ที่มีจอแสดงผลที่มองไม่เห็น” ซึ่งหมายความว่า แว่นตาที่ใช้เทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) แบบเชิงรุก (Proactive) ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่เปิดตัวในโลก โดยแว่นตานี้มีฟังก์ชันการแสดงผลข้อมูลบนเลนส์แว่นตา แต่จอแสดงผลนั้นจะไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า เหมือนกับเทคโนโลยีที่สามารถซ่อนข้อมูลไว้ได้อย่างล้ำสมัย สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ไม่เหมือนใคร โดยไม่รบกวนสายตาหรือการมองเห็นของผู้ใช้ และไม่มีใครรู้ว่าคุณกำลังสวมแว่นตาอัจฉริยะนอกจากตัวคุณ

ขณะที่การควบคุมแว่นตาอัจฉริยะนี้สะดวกและราบรื่น ไม่ซับซ้อน เพราะแว่นตานี้ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย ทุกการกระทำจึงเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไม่ต้องใช้แรงหรือการเคลื่อนไหวที่ยุ่งยาก เพียงแค่สัมผัสหรือหมุนวงแหวนด้วยปลายนิ้วก็เพียงพอแล้ว

ขณะเดียวกันการใส่เลนส์ในแว่นตาอัจฉริยะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น ด้วยระบบที่ให้คุณเปลี่ยนเลนส์ปกติจากร้านแว่นตาใดก็ได้ โดยใช้กลไกหมุนที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้มั่นใจในประสบการณ์การมองเห็นที่ชัดเจนและสะดวกสบาย

แว่นตา AI ของ Halliday มาพร้อมกับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง และโหมดสแตนด์บายกว่า 100 ชั่วโมง ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จแบตเตอรี่

ความก้าวล้ำนี้ไม่ได้เป็นเพียงก้าวสำคัญในวงการอุปกรณ์สวมใส่ แต่ยังมีศักยภาพในการเปลี่ยนโฉมการทำงานในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การผลิต การแพทย์ ไปจนถึงการสื่อสารข้ามภาษา

ในแง่มุมของการผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับแว่นตา Halliday ได้ยกระดับความสามารถของผู้ช่วยดิจิทัลนี้ให้เหนือกว่าการทำงานเพียงแค่คำสั่งพื้นฐาน ด้วยฟีเจอร์ที่ตอบสนองได้อย่างหลากหลาย เช่น การแปลภาษาแบบเรียลไทม์ครอบคลุมถึง 40 ภาษา หรือการช่วยเหลือเชิงรุกที่สามารถสรุปข้อมูลจากการประชุมหรือแม้กระทั่งแนะนำเส้นทางได้โดยอัตโนมัติ

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสำคัญ “เมื่อแว่นตาไม่ใช่แค่แว่นตาอีกต่อไป”

ความสามารถของ Halliday ไม่ได้หยุดอยู่แค่การใช้งานทั่วไป แต่ยังมีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่โรงงานผลิตไปจนถึงห้องผ่าตัด

ในภาคการผลิต แว่นตาอัจฉริยะนี้สามารถปรับปรุงกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ช่างเทคนิคสามารถมองเห็นคำแนะนำแบบภาพจำลองที่ฉายขึ้นตรงสายตา ช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ในขณะที่วิศวกรสามารถใช้แว่นนี้ในการตรวจสอบข้อมูลเซ็นเซอร์แบบเรียลไทม์ เช่น อุณหภูมิหรือแรงดันของเครื่องจักร และรับการแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาต้องบำรุงรักษา

บริษัทในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต้องการความแม่นยำสูง อาจเป็นกลุ่มแรกที่รับเทคโนโลยีนี้ไปใช้อย่างกว้างขวาง

นอกจากนี้ แว่นตา Halliday ยังถูกคาดหมายว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการแพทย์ โดยเฉพาะการใช้งานในห้องผ่าตัด แพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ เช่น แผนผังหลอดเลือด หรือผลการสแกน MRI โดยไม่ต้องละสายตาจากผู้ป่วย นอกจากนี้ ระบบ AI ยังช่วยแนะนำขั้นตอนผ่าตัดหรือการวินิจฉัยได้แบบเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น ในระหว่างการผ่าตัดหัวใจ แว่นตาอัจฉริยะสามารถแสดงแผนผังหลอดเลือดที่ละเอียดซึ่งช่วยให้แพทย์ดำเนินการได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ขณะที่ในพื้นที่ห่างไกลที่การเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นเรื่องยาก เทคโนโลยีนี้ยังสามารถส่งภาพวิดีโอและข้อมูลสดจากแพทย์ในพื้นที่ไปยังโรงพยาบาลใหญ่ เพื่อขอคำปรึกษาเพิ่มเติมแบบทันที จึงตอบโจทย์ Telemedicine ได้เป็นอย่างดี

“ดีไซน์และราคาที่เข้าถึงได้ง่าย” ข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าคู่แข่ง

ด้วยน้ำหนักเบาเพียง 35 กรัม เทียบเท่ากับน้ำหนักของช็อกโกแลตแท่งขนาดเล็ก 1 แท่ง หรือประมาณน้ำหนักของปากกาลูกลื่น 2 ด้าม ทำให้แว่นตา Halliday ไม่เพียงสวมใส่ได้อย่างสะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับการใช้งานต่อเนื่องในชีวิตประจำวันโดยไม่สร้างความรำคาญหรือเมื่อยล้าแม้ใช้งานเป็นเวลานาน ขณะเดียวกันการออกแบบที่เรียบง่ายและทันสมัยช่วยให้เหมาะกับการใช้งานในทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในห้องประชุม ทำงานนอกสถานที่ในไซต์งาน รวมถึงการเดินทางในรูปแบบต่างๆ

สำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของแว่นตาอัจฉริยะนี้ Halliday เปิดให้สั่งจองล่วงหน้าในราคา 369 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 12,500 บาท) ซึ่งจะปรับเป็นราคาปกติที่ 489 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 16,500 บาท) เมื่อเริ่มวางจำหน่ายจริงในเดือนมีนาคม ปี 2025

อนาคตของแว่นตาอัจฉริยะอาจไม่ต่างจากสมาร์ทโฟน

แม้ในปัจจุบัน แว่นตาอัจฉริยะจะยังเป็นเทคโนโลยีเฉพาะกลุ่ม แต่การเปิดตัว Halliday อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนวิถีการทำงานของหลายอุตสาหกรรม เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังช่วยลดต้นทุน ลดข้อผิดพลาด และเสริมสร้างความปลอดภัยในกระบวนการทำงาน

เมื่อมองไปในอนาคต DigiWindow อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่เทคโนโลยีการฉายภาพเสมือนจริงจะกลายเป็นมาตรฐานที่ผู้คนในหลายภาคส่วนใช้ในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลาย

แหล่งข้อมูล

https://www.salika.co/2025/01/19/halliday-digiwindow-ai-glasses-innovation/