คาร์บอนเครดิต: เมื่อตลาดสีเขียวถูกฉ้อโกง

Share

Loading

ในระดับโลก ตลาดคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Market) ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีบริษัทและองค์กรมากมายเข้าร่วมโครงการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการพัฒนาอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็วกลับเปิดช่องให้เกิดการฉ้อโกง (Carbon Credit Fraud) ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของระบบการชดเชยคาร์บอนโดยรวม ที่น่าตกใจคือ จากงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่ามีเพียงร้อยละ 12 ของคาร์บอนออฟเซ็ตเท่านั้นที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้จริง

ไม่นานมานี้ สื่อเชิงสืบสวนสอบสวนในเยอรมนีได้รายงานกรณีการฉ้อโกงคาร์บอนเครดิตที่เกี่ยวข้องในจีน เปิดให้เห็นช่องโหว่ในระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมของเยอรมนี โครงการในจีนอ้างว่าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 250,000 ตันต่อปีแต่กลับไม่มีหลักฐานการติดตั้งอุปกรณ์ที่กล่าวถึง และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงการหลายแห่งในจีนถูกพบว่าไม่มีตัวตนจริง การตรวจสอบยังพบว่าบริษัทแห่งหนึ่งในจีนมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการที่น่าสงสัยถึง 28 โครงการ โดยใช้เอกสารและข้อมูลปลอม ทำให้ระบบเครดิตคาร์บอนกลายเป็นช่องทางสร้างผลกำไรมหาศาลผ่านการหลอกลวงบนเอกสาร

การฉ้อโกงในตลาดคาร์บอนเครดิตมีหลากหลายรูปแบบ เช่นการจัดทำ “เครดิตผี” (Ghost Credits) ซึ่งเป็นการออกเครดิตคาร์บอนจากโครงการที่ไม่มีอยู่จริงหรือไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามที่อ้างตัวอย่างเช่น การศึกษาหนึ่งพบว่ามีเพียงร้อยละ 6 ของเครดิตออฟเซ็ตจากโครงการหลีกเลี่ยงการตัดไม้ทำลายป่าเท่านั้นที่เป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริง

นอกจากนี้ยังมีการรายงานข้อมูลเท็จ (Fraudulent Project Claims) เช่น การรายงานจำนวนหลอดไฟ LED ที่ติดตั้งเกินจริง หรือรายงานประสิทธิภาพการทำงานของเตาปรุงอาหารที่สูงเกินจริง ตัวอย่างเช่น บริษัท CQC Impact Investors ถูกตั้งข้อหาว่าได้ข้อมูลเครดิตคาร์บอนอย่างฉ้อโกง โดยการรายงานข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโครงการติดตั้งเตาปรุงอาหารประสิทธิภาพสูงและหลอดไฟ LED ในแอฟริกา เอเชียและอเมริกากลาง

การฉ้อโกงอีกรูปแบบที่พบคือ “การนับเครดิตซ้ำ” (Double Counting) ซึ่งเป็นการขายหรือใช้เครดิตคาร์บอนเดียวกันหลายครั้ง ส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต รวมถึงการใช้กลโกงปั่นตลาด (Market Manipulation) ในรูปแบบต่างๆ เช่น การซื้อขายกันเองในกลุ่ม (Wash Trading) และการปั่นราคา (Pump and Dump) และมีการหลอกลวงนักลงทุนโดยโทรศัพท์ไปชักชวนให้ลงทุนในโครงการคาร์บอนเครดิตที่เป็นการฉ้อโกง

การฉ้อโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Fraud) ผ่านการซื้อขายเครดิตคาร์บอนเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงบั่นทอนความน่าเชื่อถือของระบบคาร์บอนเครดิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลกอีกด้วย

การโกงคาร์บอนเครดิตเกิดขึ้นได้ง่ายเนื่องจากปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาด ทำให้เกิดช่องว่างในการกำกับดูแลและควบคุม ในขณะที่โครงการชดเชยคาร์บอนมีความซับซ้อน ทำให้ยากต่อการตรวจสอบและยืนยันผลลัพธ์ที่แท้จริง ตลอดจน การพึ่งพาการตรวจสอบโดยบุคคลที่สามอาจมีช่องโหว่

การโกงคาร์บอนเครดิตบั่นทอนความน่าเชื่อถือของตลาดคาร์บอน ซึ่งส่งผลต่อการลงทุนในโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การโกงทำให้บริษัทต่างๆ สามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต ส่งผลต่อความพยายามในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก และการโกงทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ได้รับการชดเชย รวมถึงทำให้เกิดความสูญเสียทางการเงินแก่ผู้ซื้อเครดิตคาร์บอน และลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดคาร์บอน

นอกจากกรณีการฉ้อโกงแล้ว ยังมีกรณีผลกระทบของโครงการลดคาร์บอนที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศยากจน โดยมีรายงานข่าวเชิงสืบสวนกรณีบริษัทเทคโนโลยีตะวันตกอย่าง Netflix และ Meta ได้ลงทุนในโครงการลดการปล่อยคาร์บอนผ่าน “การเลี้ยงสัตว์หมุนเวียน” เพื่อเพิ่มการดูดซับคาร์บอนในดินในประเทศเคนยา ซึ่งโครงการอ้างว่าสามารถลดคาร์บอนเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซจากรถยนต์ 10 ล้านคันใน 30 ปี

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น เช่น การจำกัดการเข้าถึงแหล่งหญ้าทำให้ชาวบ้านต้องย้ายพื้นที่เลี้ยงสัตว์และประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารสัตว์ นอกจากนี้ ยังมีข้อกังขาเกี่ยวกับความโปร่งใสของหน่วยงานที่ดูแลการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่เคนย่าซึ่งไม่ได้ปรึกษาหารือกับชุมชนอย่างเพียงพอรวมถึงรายได้จากคาร์บอนเครดิตส่วนใหญ่ถูกใช้ในหน่วยงาน แทนที่จะกระจายสู่ชุมชนโดยตรง

ตลาดคาร์บอนเครดิตที่ควรเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลับกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยช่องโหว่และการฉ้อโกง ทั้งในรูปแบบ “เครดิตผี” การรายงานข้อมูลเท็จ การนับเครดิตซ้ำ และการปั่นตลาด ทำให้ความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลกถูกสั่นคลอน นอกจากนี้ การดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิตในประเทศกำลังพัฒนายังอาจขาดความโปร่งใสและส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น โดยไม่ได้มีการปรึกษาหารืออย่างเพียงพอ รวมถึงการจัดสรรผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม

คนไทยจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ ซึ่งภาครัฐต้องมีการเตรียมกฎระเบียบที่ครอบคลุม การกำกับดูแลที่เข้มงวด และการตรวจสอบที่โปร่งใส เพื่อให้ตลาดคาร์บอนเครดิตสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมได้อย่างแท้จริงในอนาคต

แหล่งข้อมูล

https://www.bangkokbiznews.com/blogs/environment/1164145