กฎหมายลักษณะดิจิทัลถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องบุคคลจากการนำภาพลักษณ์ เสียง หรือคุณลักษณะส่วนบุคคลอื่นๆ ไปใช้ในเนื้อหาดิจิทัลและเนื้อหาที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยไม่ได้รับอนุญาต กฎหมายเหล่านี้มีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากความก้าวหน้าของ AI และเทคโนโลยี Deepfake ซึ่งสามารถสร้างแบบจำลองดิจิทัลที่เหมือนจริงของบุคคลได้
การคุ้มครองลักษณะดิจิทัลจึงมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว ป้องกันการนำอัตลักษณ์ไปใช้ในทางที่ผิดและให้บุคคลสามารถควบคุมการใช้ลักษณะดิจิทัลของตนเองในสื่อ บันเทิง โฆษณา และบริบททางการเมือง
หลักสำคัญของกฎหมายเกี่ยวกับลักษณะดิจิทัลจะมุ่งเน้นไปที่การให้ความยินยอม การใช้เชิงพาณิชย์ และการต่อต้านการบิดเบือนข้อมูล กฎหมายส่วนใหญ่กำหนดให้บุคคลจะต้องได้รับอนุญาตก่อนที่ลักษณะดิจิทัลของตนจะถูกนำไปใช้เพื่อผลกำไร การโฆษณา หรือเผยแพร่สู่สาธารณะ บางประเทศยังออกกฎหมายที่ควบคุมการสร้างและเผยแพร่ Deepfake โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง การหมิ่นประมาท หรือการใช้เทคโนโลยีเพื่อชี้นำความคิดเห็นของประชาชน ในวงการบันเทิงและสื่อ
กฎหมายเหล่านี้ช่วยป้องกันการสร้างภาพดิจิทัลของนักแสดง นักดนตรี และบุคคลสาธารณะอื่นๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนียได้ออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับ AI ได้แก่ Assembly Bill 2602 (AB 2602) และ Assembly Bill 1836 (AB 1836) ซึ่งกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้แบบจำลองดิจิทัลของบุคคลเพื่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการใช้ AI
กฎหมายเหล่านี้ให้สิทธิ์ใหม่แก่ประชาชนและนักแสดงในการควบคุมการใช้เสียงและรูปลักษณ์ของตนเองในรูปแบบดิจิทัล ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยี AI ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมายเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและการละเมิดสิทธิของบุคคล
AB 2602 กำหนดให้การใช้แบบจำลองดิจิทัลของบุคคลในสัญญาว่าจ้างงานต้องได้รับการยินยอมจากบุคคลนั้นอย่างชัดเจน และต้องมีรายการการใช้งานที่ระบุไว้อย่างเฉพาะเจาะจง
อีกทั้งยังห้ามการใช้แบบจำลองแทนการปฏิบัติงานจริงของบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากที่ปรึกษากฎหมายหรือสหภาพแรงงาน กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 และส่งผลให้ธุรกิจที่ใช้ AI ในการสร้างภาพหรือเสียงของนักแสดงต้องแก้ไขข้อตกลงทางกฎหมายให้เหมาะสม
AB 1836 แก้ไขกฎหมายว่าด้วยสิทธิ์ของบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว โดยห้ามไม่ให้มีการสร้างหรือเผยแพร่แบบจำลองดิจิทัลของบุคคลที่เสียชีวิตโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาท กฎหมายดังกล่าวช่วยป้องกันการนำเสียงหรือรูปลักษณ์ของบุคคลที่เสียชีวิตไปใช้ในสื่อดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก ผู้ถือสิทธิ์ลิขสิทธิ์หรือเป็นการดัดแปลงที่ได้รับอนุญาต กฎหมายนี้กำหนดบทลงโทษสำหรับการละเมิดโดยคิดค่าปรับไม่น้อยกว่า 10,000 ดอลลาร์ หรือคำนวณจากมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
กฎหมายทั้งสองฉบับนี้จะเพิ่มต้นทุนการปฏิบัติตามกฎหมายให้กับธุรกิจที่ใช้ AI และเพิ่มความซับซ้อนในการทำสัญญากับนักแสดงและบุคคลที่เกี่ยวข้องธุรกิจที่ดำเนินงานในหลายรัฐต้องพิจารณาแนวทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎหมายของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมบันเทิง
การออกกฎหมายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่เข้มงวดขึ้นในการกำกับดูแล AI ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมในอนาคตผ่านร่างกฎหมายใหม่ เช่น SB 1047 และ AB 2013 ที่เสนอให้ควบคุมการทำงานของ AI อย่างละเอียดมากขึ้น (Klungness, Stanley, Rovai, & Culp, 2024)
การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับลักษณะดิจิทัลยังคงเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากเทคโนโลยี AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและเนื้อหาดิจิทัลสามารถแพร่กระจายได้ทั่วโลก ปัญหาด้านเขตอำนาจศาล การใช้สิทธิ์โดยชอบธรรม (Fair Use) และความสมดุลระหว่างการกำกับดูแลกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยียังคงเป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงกันต่อไป
ด้วยการแพร่หลายของเนื้อหาที่สร้างโดย AI คาดว่าฝ่ายนิติบัญญัติทั่วโลกจะต้องปรับปรุงกฎหมายเหล่านี้ให้ทันสมัยเพื่อให้แน่ใจว่า AI ถูกใช้ในทางที่ถูกต้องในอนาคต กฎหมายอาจขยายขอบเขตไปถึงประเด็นเกี่ยวกับ อัตลักษณ์ AI ในโลกเสมือน (Metaverse) สื่อดิจิทัลที่สร้างโดย AI และการคุ้มครองบุคคลจากการถูกแอบอ้างในโลกออนไลน์
ในประเทศไทยขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่ควบคุมการใช้ลักษณะดิจิทัลหรือเทคโนโลยี Deepfake โดยตรง อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวอาจเข้าข่ายการละเมิดกฎหมายที่มีอยู่แล้ว เช่น กฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงหรือบิดเบือนข้อมูลที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายอาจถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จหรือบิดเบือนเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
นอกจากนี้ หน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยได้ตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาจากเทคโนโลยี Deepfake และได้มีการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทัน แม้ว่าจะยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในประเทศไทยที่ควบคุมการใช้ลักษณะดิจิทัลหรือเทคโนโลยี Deepfake แต่การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่เหมาะสม อาจเข้าข่ายการละเมิดกฎหมายที่มีอยู่ ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ควรทำด้วยความระมัดระวังและเคารพสิทธิของผู้อื่น
แหล่งข้อมูล
https://www.bangkokbiznews.com/blogs/tech/innovation/1169468