Net Positive Nation โมเดลใหม่เพื่อความยั่งยืน

Share

Loading

ทุกวันนี้ เรากำลังเผชิญกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมในระดับที่การแค่ “ลดผลกระทบ” ไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราต้องขยับไปสู่แนวทางใหม่ แนวทางที่ทะเยอทะยานกว่าเดิม ที่เรียกว่า Net Positive Environmental การสร้างผลกระทบเชิงบวกคืนกลับให้โลกมากกว่าผลกระทบที่เราสร้างขึ้น

Net Positive Environmental คือแนวทางที่เปลี่ยนกรอบคิดจากการเป็นแค่ “ผู้ลดผลกระทบ” ไปสู่การเป็น “ผู้ฟื้นฟู” และ “ผู้สร้าง” สมดุลใหม่ให้กับธรรมชาติ เป็นการยอมรับว่ามนุษย์นั้นมีบทบาทต่อโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่แทนที่จะเป็นผู้เอาเปรียบโลก เรายังสามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาและสร้างอนาคตใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้

สำหรับประเทศไทย แนวทางนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ตรงกันข้าม นี่อาจเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการยกระดับนโยบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่

การมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ พื้นที่ป่า ชายฝั่ง แหล่งน้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพที่ยังพอหลงเหลืออยู่ นี่คือฐานทุนสำคัญที่เราสามารถนำแนวคิด Net Positive มาปฏิบัติได้จริง โดยไม่ใช่แค่การอนุรักษ์หรือชะลอการเสื่อมโทรม แต่เป็นการสร้างผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

ลองจินตนาการถึงการพัฒนาที่ไม่ใช่แค่ปลูกป่าทดแทน แต่ปลูกป่าในรูปแบบใหม่ที่เสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ ฟื้นฟูหน้าดิน และสร้างแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ทรงประสิทธิภาพกว่าเดิม

ลองนึกถึงระบบเกษตรกรรมที่ไม่เพียงแต่ลดการใช้สารเคมี แต่เปลี่ยนให้การทำเกษตรกลายเป็นกระบวนการกักเก็บคาร์บอนในดิน เพิ่มความชุ่มชื้นให้ระบบนิเวศ และฟื้นคืนวงจรของธรรมชาติอย่างสมดุล หรือแม้แต่การออกแบบเมืองใหม่ที่ทุกอาคารผลิตพลังงานสะอาดมากกว่าที่ใช้ มีพื้นที่สีเขียวที่ทำหน้าที่เป็นทั้งปอดเมือง และเป็นศูนย์กลางฟื้นฟูธรรมชาติในตัว

การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู หรือ Regenerative Tourism ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ไทยมีศักยภาพสูงสุด ในฐานะประเทศที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวมหาศาล

การท่องเที่ยวแบบเดิมที่สร้างขยะ ทำลายทรัพยากร และดึงเอาความงามจากธรรมชาติมาแปรเป็นกำไรอย่างเดียวจะไปต่อไม่ได้อีกแล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนเป็นการท่องเที่ยวที่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามา “เติมเต็ม” มากกว่ามา “เบียดเบียน” ชุมชนและธรรมชาติ นั่นหมายถึงนักท่องเที่ยวอาจต้องเข้ามาปลูกป่า เก็บขยะในทะเล ร่วมเรียนรู้และช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศท้องถิ่น ขณะเดียวกันการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจะถูกส่งต่อไปยังโครงการอนุรักษ์อย่างเป็นรูปธรรม นี่คือการท่องเที่ยวที่สร้างประโยชน์ได้จริงทั้งต่อเศรษฐกิจ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม

ในทางปฏิบัติ นโยบายสามารถกำหนดให้โครงการพัฒนาที่กระทบกับพื้นที่ป่าต้องปลูกป่าทดแทนในอัตรา 2-3 เท่าของพื้นที่ที่ถูกใช้

โครงการที่ใช้น้ำจำนวนมาก เช่น โรงงานหรือรีสอร์ต ต้องลงทุนในโครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำต้นทางหรือระบบนิเวศลุ่มน้ำให้สามารถกักเก็บและผลิตน้ำได้มากกว่าปริมาณน้ำที่ใช้ 1-2 เท่า และโครงการพัฒนาริมชายฝั่ง ต้องมีแผนฟื้นฟูแนวปะการังหรือระบบนิเวศชายฝั่งควบคู่ โดยต้องคืนพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเลให้ได้มากกว่าพื้นที่ที่ถูกรบกวน (เช่น ปลูกป่าชายเลนเพิ่ม 2 เท่า)

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนระบบคิดเชิงนโยบายทั้งหมด เราไม่ควรมองเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงภาระหรือข้อจำกัด แต่ควรมองว่า การลงทุนใน Net Positive คือการลงทุนในสมดุลระยะยาวของประเทศ เพราะทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์คือรากฐานของเศรษฐกิจ สุขภาพ และคุณภาพชีวิตในระยะยาว ประเทศที่ปล่อยให้ทรัพยากรเสื่อมโทรม จะสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น เราควรระบุเป้าหมายเชิงรุกว่า ประเทศไทยจะมุ่งสู่การเป็น Net Positive Nation ภายในปี 2050 โดยกำหนดเป้าหมายว่าป่าไม้จะเพิ่มขึ้นให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างน้อย 40% ได้สักที และต้องเป็นป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่าปัจจุบัน เราจะสร้างเมืองที่ผลิตพลังงานสะอาดได้มากกว่าที่ใช้ เราจะมีระบบเกษตรกรรมที่เป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งกักเก็บคาร์บอนในดิน

และที่สำคัญที่สุด เราจะสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่การ “คืนกำไรให้ธรรมชาติ” เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่แค่ CSR หรือโครงการพิเศษ แต่คือส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน

การเปลี่ยนผ่านนี้เป็นโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจอีกครั้งของประเทศ เพราะเศรษฐกิจยุคใหม่จะเป็นเศรษฐกิจที่โลกยอมรับมากขึ้นเมื่อเราสร้างคุณค่าเชิงบวกให้กับธรรมชาติ

ประเทศที่เป็นผู้นำด้าน Net Positive จะได้เปรียบในเวทีโลก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงเงินทุนสีเขียว (Green Finance) การค้าระหว่างประเทศที่ต้องผ่านมาตรฐาน Carbon Border Tax หรือการดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

Net Positive Environmental เป็นแนวทางที่จะเป็น “ทางรอด” และ “ทางรุ่ง” ของประเทศต่างๆ ในศตวรรษที่ 21 ประเทศไทยมีทรัพยากร มีภูมิปัญญาชุมชน และมีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นต้นทุนที่ล้ำค่า

เราจึงควรใช้ต้นทุนนี้อย่างชาญฉลาด เปลี่ยนจากการพัฒนาแบบเดิมๆ ไปสู่การพัฒนาที่ฟื้นคืนชีวิตให้ธรรมชาติ ให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้จริง ให้ธุรกิจเติบโตได้พร้อมกับสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์

การนำแนวคิดนี้ไปปฏิบัติเป็นวาระที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม ตั้งแต่รัฐบาล นักธุรกิจ เกษตรกร นักท่องเที่ยว ไปจนถึงประชาชนทั่วไป เพื่อให้เราเลิกเป็นแค่ “ผู้ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ” แต่กลายเป็น “ผู้คืนกำไรให้ธรรมชาติ”

Net Positive Nation เป็นอีกกระบวนทัศน์หนึ่งที่จะยกระดับประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักการพัฒนาหลายๆ ด้าน และทำให้คนอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืนและยั่งยืน

แหล่งข้อมูล

https://www.bangkokbiznews.com/blogs/environment/1170556