ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เตรียมความพร้อมรองรับการเปิดบินระหว่างประเทศ จัดพื้นที่ตั้งห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ด้วยระบบการตรวจหาสารคัดหลั่งทางพันธุกรรม ให้ผลรวดเร็วและแม่นยำถึง 95% รู้ผลตรวจได้ภายใน 90 นาที
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เตรียมตั้งห้องตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด – 19
นาวาอากาศโทสุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่าตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ออกประกาศเรื่อง เงื่อนไขในการอนุญาตให้อากาศยานทำการบินเข้าออกประเทศไทย (ฉบับที่ 2) ณ วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งตามประกาศดังกล่าวได้กำหนดให้อากาศยานที่ขนส่งบุคคลสามารถทำการบินมายังท่าอากาศยานในประเทศไทย รวมถึงบุคคลจะเดินทางเข้าประเทศไทยทางท่าอากาศยานต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประกาศของ กพท. เท่านั้น
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ตามแนวทางการปฏิบัติตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ที่ 7/2563 วันที่ 30 มิถุนายน 2563 และข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ได้มีการประสานการทำงานกับกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานราชการ สายการบินและผู้ปฏิบัติงานภายใน ทสภ. เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกันให้สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาล เช่น การตั้งจุดคัดกรองของด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ การจัดเตรียมพื้นที่ตั้งห้องปฏิบัติการสำหรับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด – 19 ด้วยระบบการตรวจหาสารคัดหลั่งทางพันธุกรรม หรือ PCR ซึ่งมีความรวดเร็วและแม่นยำถึง 95% ที่สามารถทราบผลตรวจได้ภายใน 90 นาที
จัดเตรียมพื้นที่บริเวณ Gate D3 และ D4 เป็นห้องพักสำหรับรอผลตรวจ
ขณะที่ในส่วนของ ทสภ. ได้มีการจัดเตรียมพื้นที่บริเวณ Gate D3 และ D4 ไว้เป็นห้องพักคอยสำหรับผู้โดยสารที่ต้องรอผลตรวจ ซึ่งภายในห้องดังกล่าวมีการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และจัดที่นั่งให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) รวมทั้งมีห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งน้ำดื่มไว้ให้บริการด้วย
คนไทยยังคงต้องเข้ารับการกักตัว หรือ State Quarantine นาน 14 วัน
นอกจากนี้ ทสภ. ยังจัดให้มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำผู้โดยสารในการกรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม (ใบ ต.8) การโหลด Application ติดตามตัว รวมถึงการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ด้วย สำหรับผู้โดยสารชาวไทยยังคงต้องผ่านกระบวนการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ตามมาตรการของรัฐและเข้ารับการกักตัวในสถานที่รัฐจัดเตรียมไว้ให้ (State Quarantine) เป็นระยะเวลา 14 วัน เช่นเดิม
ทั้งนี้ นาวาอากาศโทสุธีรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา ทสภ. ได้ให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยและด้านสาธารณสุข โดยเน้นย้ำในการดูแลรักษาความสะอาดในทุกพื้นที่ภายในท่าอากาศยาน รวมถึงบริเวณพื้นที่จุดสัมผัสต่างๆ เช่น ห้องน้ำ ลิฟต์ ทางเดินเลื่อน แบบ Deep Cleaning อย่างต่อเนื่องทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ทสภ. ได้มีการตั้งจุด Terminal Screening เพื่อตรวจคัดกรองอุณหภูมิร่างกายผู้ที่จะผ่านเข้ามาในอาคารผู้โดยสารทุกคน
พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการทุกคนต้องถือปฏิบัติตามวิถีชีวิตปกติรูปแบบใหม่ (New Normal) เมื่ออยู่ภายในอาคารผู้โดยสารและพื้นที่ท่าอากาศยานอย่างเคร่งครัดโดยการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อลดความแออัด ในพื้นที่ให้บริการต่างๆ และกำหนดให้ผู้โดยสาร ผู้ใช้บริการ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในอาคารผู้โดยสาร เพื่อเป็นการช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)
เดือน มิ.ย.63 มีผู้โดยสารทั้งสิ้น กว่า 1.87 แสนคน
สำหรับเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ทสภ. มีจำนวนผู้โดยสารทั้งสิ้น 187,000 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารภายในประเทศมีจำนวน 144,302 คน และจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศมีจำนวน 42,698 คน จำนวนเที่ยวบินทั้งสิ้น 5,044 เที่ยวบิน สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศมีจำนวน 1,876 เที่ยวบิน และเที่ยวบินระหว่างประเทศมีจำนวน 3,168 เที่ยวบิน
ขอขอบคุณแหล่งที่มา :