บริษัท ดิจิตอลเฟิร์ส แอนด์ เซอร์วิส เน็ทเวิร์ค จำกัด

ผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมอัจฉริยะในระบบรักษาความปลอดภัย

นอกจากนี้ ดิจิตอลเฟิร์ส ยังถือเป็นผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมอัจฉริยะในระบบรักษาความปลอดภัย จนสามารถมาบูรณาการเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

จุดเริ่มต้นของดิจิตอลเฟิร์ส

“ผมเริ่มต้นทำงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีตั้งแต่อายุประมาณ 18 ปี ซึ่งเป็นการเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย เพราะมีโอกาสได้เข้าไปทำงานด้าน Access Control ในบริษัทแห่งหนึ่ง โดยเป็นการเริ่มต้นเรียนรู้จากศูนย์เลยก็ว่าได้ แต่ก็ด้วยสนใจศึกษาเรียนรู้และได้ลงมือปฏิบัติจริง จึงทำให้เกิดประสบการณ์และองค์ความรู้ขึ้นมาจากการทำงานดังกล่าว และหลังจากที่ได้ทำงานอยู่ราว ๆ 2 ปี จึงมีความคิดว่าอยากจะเปิดบริษัทของตัวเอง ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งดิจิตอลเฟิร์สในเวลาต่อมา” คุณธราธรกล่าว

แม้ว่าในระยะแรกจะยังไม่ได้จัดตั้งบริษัทดิจิตอลเฟิร์สอย่างเป็นทางการ เพราะคุณธราธรออกมาเป็นช่างที่รับงานด้วยตัวเอง และดำเนินการต่าง ๆ ด้วยตัวเองทั้งหมด แต่ด้วยคุณภาพของการให้บริการ จึงทำให้คุณธราธรได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดก็ได้รับงานที่ใหญ่ขึ้นเรื่อง ๆ จนมีการจัดตั้ง บริษัท ดิจิตอลเฟิร์ส แอนด์ เซอร์วิส เน็ทเวิร์ค จำกัด อย่างเป็นทางการในที่สุด

ซึ่งการเปิดบริษัทของคุณธราธรในวัยเพียง 20 กว่า ๆ นั้น เริ่มต้นด้วยเงินทุนไม่มากนัก มีคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง มอเตอร์ไซค์หนึ่งคันสำหรับเดินทาง และอุปกรณ์พื้นฐานอื่น ๆ ที่จำเป็นเท่านั้น แต่ด้วยการทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง รวมถึงคุณภาพของผลงาน จึงทำให้บริษัทที่ปลุกปั้นมากับมือได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

หลักการทำงาน

“ในตอนเริ่มแรกผมไม่ได้มีความชำนาญในการบริหาร เพราะเริ่มต้นมาจากสายช่าง แต่ก็ได้ญาติเข้ามาช่วยทำงาน ซึ่งในระยะแรกก็เป็นลักษณะแบบธุรกิจครอบครัว โดยยังไม่ได้มีการจ้างพนักงานประจำ แต่จะมีการจ้างช่างมาช่วยทำเป็นงาน ๆ ไป” คุณธราธรกล่าว

โดยการเริ่มต้นทำธุรกิจที่ตัวเองรักตั้งแต่อายุยังน้อย ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเรียนรู้ที่แท้จริง ซึ่งในขณะนั้นเทคโนโลยีกล้องวงจรปิดถือเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาค่อนข้างสูงพอสมควร จึงทำให้การเริ่มต้นธุรกิจในวัย 20 กว่า ๆ เป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถอย่างยิ่ง เพราะจะต้องฝ่าฟันทั้งในแง่ของวัยวุฒิและความน่าเชื่อถือ ตลอดจนเงินทุนอันจำกัด ซึ่งสุดท้ายคุณธราธรก็ได้สะสมชั่วโมงบินในตลอดฤดูกาลอันเคี่ยวกรำ ทั้งปัญหาและอุปสรรคจึงเปรียบเสมือนบทเรียนสำคัญที่เพาะบ่มประสบการณ์และความแข็งแกร่งให้เพิ่มพูนขึ้นในฐานะผู้นำองค์กร

“เราไม่มีเงินทุนเลย ทุกอย่างคือการหยิบยืม แต่ก็ค่อย ๆ ก้าวไป ผ่านการเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งการบริหารคน การบริหารงาน ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เริ่มอยู่ตัว มีการบริหารงานที่เป็นระบบ มีการแบ่งงานกันทำเป็นฝ่ายชัดเจน รวมถึงต่อมาก็ยังมีการแยกออกเป็นบริษัทในเครืออีก ซึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือการรับเอาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพเข้ามาช่วยทำงาน เพราะจะทำให้ได้เนื้องานที่มีคุณภาพ และเราเหนื่อยน้อยลงกว่าเมื่อก่อน ส่วนในเรื่องการบริหารพนักงาน ผมเคยเป็นลูกน้องมาก่อน ผมจึงเข้าใจมุมมองและรู้ว่าลูกน้องต้องการอะไร” คุณธราธรกล่าว

การเอาใจใส่พนักงานจึงถือเป็นสิ่งที่คุณธราธรให้ความสำคัญ แม้ว่าผู้นำองค์กรจะต้องวางตัวให้เหมาะสมสำหรับการเป็นผู้นำ แต่ในขณะเดียวกันก็จะต้องไม่ห่างเหินกับพนักงานด้วย เนื่องจากความไว้วางใจซึ่งกันและกันจะส่งผลให้การทำงานง่ายขึ้น เพราะพนักงานกล้าที่จะสื่อสาร

รวมถึง ดิจิตอลเฟิร์ส ยังมีการให้ผลตอบแทนกับพนักงานอย่างน่าพอใจ โดยมีผลตอบแทนพิเศษอื่น ๆ ตามความสามารถและกติกาที่วางเอาไว้ และนอกจากนี้ยังมีโบนัสที่ออกปีละ 2 ครั้ง ตลอดจนมีการพาพนักงานไปศึกษาดูงานยังต่างประเทศ และมีการจัดกิจกรรมอบรมสัมมนาต่าง ๆ ทุกปี เป็นต้น ซึ่งสวัสดิการดี ๆ ทั้งหมด จะถูกวางเอาไว้ภายใต้กฎระเบียนในการทำงานที่มีความชัดเจนและเหมาะสม

เรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ

คุณธราธรเป็นผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ และพร้อมเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เสมอ จึงทำให้ลักษณะของการทำงานด้านเทคโนโลยีเป็นไปในลักษณะแบบบูรณาการ เน้นเป้าหมายของงานและประสิทธิภาพที่จับต้องได้จริง

“ดิจิตอลเฟิร์ส ไม่ได้ทำแค่กล้องวงจรปิด แต่เราคือผู้ที่ทำระบบความปลอดภัยแบบครบวงจร ดังนั้นผมต้องศึกษาเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เสมอ ในระหว่างที่คนอื่นนอน ผมจะพัฒนาตัวเอง เพื่อไม่ให้ความรู้ของผมหลับ ถ้าเราคิดว่าเทคโนโลยีของเราสูงแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว สุดท้ายเราก็อาจจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็ได้”

“ผมไม่กลัวงานยาก โดยเฉพาะเวลาที่ลูกค้าให้โจทย์มา ผมคิดเพียงว่าผมจะต้องทำโจทย์นั้นให้สำเร็จ และสามารถใช้งานจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ สิ่งนี้เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งที่ผมชอบ”

แนวคิดการพัฒนาเทคโนโลยี

นอกจากการนำเอาเทคโนโลยีจากแบรนด์ต่าง ๆ มาบูรณาการเพื่อทำงานร่วมกันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ดิจิตอลเฟิร์สยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง นั้นก็คือการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองควบคู่ไปด้วย รวมถึงยังมีการออกแบบโซลูชั่นตามโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งมุ่งเน้นที่ความสมบูรณ์แบบ และใช้งานได้จริง

“ณ ตอนนี้ผมมองว่าการพัฒนาระบบ AI ในประเทศไทยส่วนใหญ่ จะเป็นลักษณะของเทคโนโลยีที่ปล่อยออกมาให้คนได้ทดลองใช้ก่อน แล้วจึงค่อยนำเอาฟีดแบคกลับไปพัฒนาต่อ เพื่อให้เทคโนโลยีมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงในบางครั้งก็จะมีการรับโจทย์ใหม่ ๆ แล้วก็ทำสิ่งอื่นต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เทคโนโลยีไม่ได้เกิดการพัฒนาอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นเรื่อง ๆ ไป ทำให้เทคโนโลยี AI ของไทยจำนวนหนึ่งที่นำออกมาให้คนใช้ ยังไม่มีความเสถียรเพียงพอ โดยเฉพาะการจะนำไปใช้ในงานในด้านความปลอดภัย”

“แต่สำหรับ ดิจิตอลเฟิร์ส เราจะทำแบบต่างประเทศ คือต้องทำให้สมบูรณ์แบบก่อน แล้วถึงจะนำออกมาใช้งาน ซึ่งวิธีการนี้แม้ดูเหมือนว่าช้าจะกว่า แต่ระยะเวลาที่เราเสียไป สิ่งที่เราจะได้กลับคืนมาก็คือความเชื่อมั่นของลูกค้า เขาจะมั่นใจว่าเทคโนโลยีของเราเป็นสิ่งที่จะสร้างความปลอดภัยได้จริงอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”

ดิจิตอลเฟิร์ส มองว่าการสร้างเทคโนโลยีขึ้นมานั้น ไม่ใช่แค่ทำได้ แต่จะต้องนำไปใช้ได้จริง ๆ เพราะงานด้านระบบรักษาความปลอดภัยถือเป็นงานที่ต้องมีความรัดกุมในระดับสูง