อีอีซี 1 ล้านล้าน…พลังขับเคลื่อนจีดีพีปีเสือ

Share

Loading

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา ได้มีงานสัมมนา “ศักราชใหม่…ความหวัง(หรือแค่ฝัน)ประเทศไทย 2022” จัดโดย หนังสือพิมพ์บางกอก ทูเดย์ ร่วมกับ คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ The Leader Asia จัดการ ณ อาคาร 23 ชั้น 7 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดการสัมมนาพร้อมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “แรงขับเคลื่อนประเทศไทยในศักราชใหม่ 2022”

รมว.คลัง กล่าวถึงความท้าทายในปี 2565 มี 3 ประการคือ

ประการที่หนึ่ง การคงอยู่ของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แม้จะไม่มีความรุนแรงเท่ากับสายพันธุ์เดลต้า แต่จากการแพร่ระบาดที่ไวกว่า ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อของไทยในปัจจุบันยังอยู่ที่ระดับ 6,000-7,000 คนต่อวัน ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าโควิดจะอยู่กับเราอีกนานแค่ไหน แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากสามารถจำกัดพื้นที่แพร่ระบาดได้ และเดินหน้าฉีดวัคซีนตามแผน ก็จะทำให้สถานการณ์กลับมาดีขึ้นได้

ประการที่สอง ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ในช่วงปี 2563-2564 ที่ภาคธุรกิจมีการปิดตัวลง แรงงานกลับสู่ภูมิลำเนา ซึ่งพบว่าแรงงานมีการประกอบชีพใหม่ และอาจไม่กลับเข้าสู่ระบบแรงงาน ขณะเดียวกันแรงงานต่างด้าวก็เดินทางกลับประเทศจำนวนมาก ทำให้ล่าสุดกระทรวงแรงงานได้เปิดรับคำขอการเดินทางเข้ามาทำงานในไทยจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ดังนั้น เชื่อว่าสถานการณ์แรงงานขาดแคลนอาจเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกเท่านั้น

ประการที่สาม สถานการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งเกิดจากราคาพลังงานและอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น เช่นปัญหาราคาหมูแพง  รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯเข้าไปกำกับดูแล ส่วนราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องนั้น มอบหมายให้กระทรวงพลังงานไปดูแลไม่ให้ราคาน้ำมันดีเซลเกินกว่า 30 บาทต่อลิตร โดยกองทุนน้ำมันฯจะเข้ามาเป็นกลไกช่วยเรื่องของราคาน้ำมัน ปัญหาราคาสินค้านี้คาดว่าจะคลี่คลายในช่วงครึ่งปีแรก

“ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงคลัง ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ที่ 1-3% แม้จะมีบางช่วงที่อาจทำให้เงินเฟ้อใกล้ระดับ 3% หรืออาจเกินกรอบไปบ้าง แต่สถานการณ์ก็ยังไม่แน่ชัด ยังขึ้นอยู่กับการดูแลราคาสินค้าและอาหาร แต่ยืนยันว่าเราจะดูแลไม่ให้เงินเฟ้อเกินกรอบ 3%” รมว.คลัง กล่าว

นายอาคม ยังกล่าวถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2565 ได้คาดการณ์ไว้ที่ 3.5-4.5% โดยธุรกิจที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญคือ

1 ธุรกิจดิจิทัลเทคโนโลยี กลุ่มสตาร์ทอัพด้านดิจิทัล Venture capital ซึ่งกระทรวงการคลังมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น หรือแพลตฟอร์มต่างๆที่ให้บริการด้าน Data Center

2 ธุรกิจรักษ์โลก การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เริ่มจากภาคการขนส่ง สนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า มาตรการด้านภาษี

3 ธุรกิจเกี่ยวเนื่องการแพทย์และสาธารณสุข ดูแลผู้สูงอายุ มีโครงการรามาธนารักษ์เป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ

“ในด้านการให้ความช่วยเหลือประชาชน เอสเอ็มอี หรือธุรกิจทั่วไป กระทรวงการคลังมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทำหน้าที่ในการช่วยเหลือเติมเต็มส่วนที่ขาดไปในระบบสถาบันการเงิน” นายอาคม ระบุ

อีกหนึ่งเครื่องยนต์ผลักดันเศรษฐกิจสำคัญซึ่ง รมว.คลังคาดหวังว่าจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ให้เติบโตตามเป้าหมายคือการลงทุน 9 แสนล้านของภาครัฐที่จะถูกใช้จ่ายในปี 2565 และ การให้สัมปทานเอกชนลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ประมาณ 1 ล้านล้านบาท

ขณะที่แผนพัฒนาอีอีซี 5 ปี (ปี 2565-69) การลงทุนจะมีโครงการหลัก อาทิ การลงทุนเมืองการบินภาคตะวันออกประมาณ 1 แสนล้านบาท การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟความเร็วสูง 1 แสนล้านบาท การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายเฉลี่ยปีละ 4 แสนล้านบาท ยังไม่นับโครงการเมืองใหม่และอสังหาริมทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ และโครงการภายใต้งบบูรณาการอีอีซี

“2 ปีที่ผ่านมาระบบเศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างหนักหน่วงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ลงถึงประชาชนในวงกว้าง ทุกประเทศต้องใช้นโยบายการคลังเข้าพยุงเศรษฐกิจ ช่วยเหลือประชาชน มาตรการด้านการคลังถูกนำมาใช้ในช่วง 2 ปีค่อนข้างมาก ในกรณีของประเทศไทยจากข้อมูลของไอเอ็มเอฟชี้ให้เห็นว่าไทยได้ใช้มาตรการด้านการคลังประมาณ 14% ของจีดีพี โดยการออกพ.ร.ก.กู้เงินสองฉบับ ฉบับแรก 1 ล้านล้านบาท ฉบับที่สอง 5 แสนล้านบาท โดยเน้นชดเชยรายได้ของประชาชนที่ขาดหายไป และใช้มาตรการกึ่งการคลังประมาณ 4% ของจีดีพี ปี 2565 เชื่อว่าการส่งออกยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากปี 2564 ผสมงบประมาณลงทุนภาครัฐและเอกชนในพื้นที่อีอีซีจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับเศรษฐกิจปีนี้” รมว.คลัง สรุป

จับตาประเทศไทยประเทศไทย 2022 ความหวังเติมพลังเศรษฐกิจ เติบโตได้ 3.5-4.5% จริงไหม?

แหล่งข้อมูล

https://www.salika.co/2022/01/30/eec-gdp-driving-force-2022/