นี่คือยุคเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างแท้จริงตลอดศตวรรษที่ 20 ยานยนต์เครื่องสันดาปภายใน (INTERNAL COMBUSTION ENGINE: ICE) ถือเป็นพระเอกในการขับดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลก แต่วันนี้ดูเหมือนภาพของพระเอกจะกลายเป็นอดีตไปซะแล้ว ภายใต้สถานการณ์สภาวะโลกร้อนที่กำลังคุกคามทุกชีวิตบนโลกใบนี้อย่างหนัก การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านจึงต้องเกิดขึ้น
ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Car กลายเป็นตัวเลือกที่ถูกพูดถึงอย่างหนักตลอดทศวรรษที่ผ่านมาว่าจะเข้ามาเป็นพระเอกตัวใหม่ที่จะแก้ปัญหาทั้งในมิติของเศรษฐกิจ และสภาวะโลกร้อนไปพร้อม ๆ กัน ความนิยมของยานยนต์ไฟฟ้าตอนนี้มากขนาดไหน ดูได้จากการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ 2022 ที่ผ่านมา
โดยข้อมูลจากทาง BloombergNEF เผยว่า ปริมาณการโฆษณาของยานยนต์ไฟฟ้าที่อยู่ในการแข่งขันครั้งนี้มากถึง 7 โฆษณา ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 4 ปี และเทียบเท่ากับจำนวนโฆษณาของยานยนต์สันดาปในปี 2019 เลยทีเดียว และนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาโฆษณาของยานยนต์ไฟฟ้าก็สูงกว่ายานยนต์เครื่องสันดาปมาโดยตลอด
และหากลงลึกไปอีกนิดจะพบว่า ค่าใช้จ่ายโฆษณายานยนต์ไฟฟ้าเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ทั้งหมดของโฆษณายานยนต์ในสหรัฐฯ ปี 2021 ตัวเลขการใช้จ่ายพุ่งขึ้นกว่า 3 เท่าจาก 2.0% ในปี 2020 มาอยู่ที่ 7.5% ในปี 2021 เลยทีเดียว นั่นทำให้ตอนนี้น่าจะพอพูดได้แล้วว่ายานยนต์ไฟฟ้าจะกลายเป็น พระเอกคนใหม่ ของการขับดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจากนี้
ภาพรวมยานยนต์ไฟฟ้าในระยะสั้น
ตอนนี้ยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกที่วิ่งอยู่บนถนนมีอยู่ราว 12 ล้านคัน และกว่า 1 ล้านคันในนั้นเป็นกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ เช่น รถบัส รถตู้แวน รถบรรทุก ขณะที่รถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก (น้อยกว่า 50 ซีซี) มีอยู่ราว 260 ล้านคันทั่วโลก พร้อมกับราคาแบตเตอรี่ที่ราคาถูกลงอย่างต่อเนื่อง ตบท้ายด้วยนโยบายภาครัฐที่ออกมาสนับสนุนเพื่อกระตุ้นให้เรามุ่งไปสู่การเป็น ‘Net Zero Emission’ ในหลายประเทศ ยิ่งทำให้เกิดแรงกระตุ้นจากผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังทยอยปล่อยของเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก นั่นทำให้ปี 2022 ถูกมองว่าจะเป็นปีที่มีการเพิ่มขึ้นของยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกอย่างมีนัยยะสำคัญ
โดยยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2025 ถูกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 3.1 ล้านคันในปี 2020 ไปสู่ 14 ล้านคัน ซึ่งคิดเป็น 16% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปี 2025 ขณะที่ประเทศเยอรมันจะกินส่วนแบ่งตลาดมากกว่าใครเพื่อนคิดเป็นราว ๆ 40% ของยอดขายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปี 2025 ขณะที่ประเทศจีนจะอยู่ที่ 25% นี้แสดงให้เห็นว่าจีนและยุโรปจะครอบครองตลาด EV ของโลกนี้ในปี 2025
โดยตัวผลักดันของยุโรปคือ Europe’s Vehicle CO2 Regulations หรือมาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของยานยนต์ที่ใช้ในยุโรป ด้านจีนก็จะมีกฎเกณฑ์ด้านเชื้อเพลิงของจีน และระบบเครดิตยานยนต์พลังงานรูปแบบใหม่เป็นตัวขับดัน
โดยจากมุมมองของทาง BloombergNEF เผยว่า ยานยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-In Hybrid (PHEV) จะมียอดขายที่เติบโตรวดเร็วในระยะสั้นสำหรับประเทศยุโรป โดยมีสาเหตุมาจากเป้าหมายด้าน CO2 ที่เข้มงวด แต่จากนั้นจะค่อย ๆ เลือนหายไป พร้อมกับราคาแบตเตอรี่ที่ถูกลงอย่างต่อเนื่อง นโยบายที่หนุนยานยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-In Hybrid (PHEV) จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากยุโรปและญี่ปุ่นแล้ว PHEV จะไม่สามารถครองส่วนแบ่งตลาดใด ๆ ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยยอดขายเกือบ 80% ทั่วโลกในปี 2025 จะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า
ปัจจุบันยานยนต์ไฟฟ้ามีแค่ 12 ล้านคันบนโลกนี้เท่านั้น หรือคิดเป็น 1% ของยานยนต์ทั้งโลก แต่ในปี 2025 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่ามาอยู่ที่ 54 ล้านคัน โดยการเติบโตไม่ได้เกิดขึ้นกับรถยนต์ส่วนบุคคลเท่านั้น เพราะนาทีนี้กลุ่มยานยนต์อื่น ๆ ก็ได้มีการนำเอาพลังงานไฟฟ้าไปปรับใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลุ่มยานยนต์ 2 ล้อ และ 3 ล้อ มีมากถึง 44% ของโลกที่เป็น EV โดยประเทศจีนถือเป็นตลาดใหญ่สำหรับกลุ่มนี้
แต่ในช่วง 3-4 ปีจากนี้อัตราการเติบโตจะต่ำลงเนื่องจากตลาดเริ่มอิ่มตัว ก่อนจะกลับมาคึกคักอีกครั้งอย่างรวดเร็วในช่วง 2025 การกลับมาคึกคักในครั้งนี้จะอยู่ในฐานะผู้ผลิตไม่ใช่ผู้ใช้อีกแล้ว โดยประเทศที่กำลังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในกลุ่มนี้คือ ไต้หวัน เวียดนาม และอินเดีย เป็นต้น กลุ่มเหล่านี้น่าจะเป็นผู้ซื้อใช่หรือเปล่า?
ปัจจุบันมีรถบัสไฟฟ้าบนถนนกว่า 600,000 คันทั่วโลก และเป็นยอดขายใหม่ถึง 39% และคิดเป็น 16% ของฝูงยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก โดยประเทศจีนมีสัดส่วนใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้ปี 2020 มียอดขายกว่า 74,000 คัน ซึ่งตอนนี้ตลาดจีนในกลุ่มนี้ก็เป็นอีกกลุ่มที่เริ่มอิ่มตัวเช่นกัน
และทาง BloombergNEF ประเมินว่าการเติบโตในกลุ่มยานยนต์ประเภทนี้หลังจากนี้จะไปอยู่ที่ประเทศอื่น ๆ แทนอย่าง ทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ เกาหลีใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และอเมริกาใต้ พร้อมคาดการณ์ว่ายอดขายรถบัสไฟฟ้านอกประเทศจีนจะพุ่งแตะ 14,000 คันในปี 2025 จาก 5,000 คันในปี 2020 สำหรับตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ รถบัสไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้า 2 และ 3 ล้อ จะถือเป็นโอกาสที่ใหญ่มากสำหรับกลุ่มนี้ในระยะสั้น
ด้านรถแวนไฟฟ้าและรถบรรทุกเชิงพาณิชย์จะยังโตช้า แต่ประเด็นคุณภาพอากาศจะทำให้ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มนี้โตในหลายปีจากนี้ โดยมีสาเหตุสำคัญอื่น ๆ นอกจากคุณภาพอากาศ เช่น ราคาแบตเตอรี่ที่ต้นทุนถูกลง ตรงนี้นำมาสู่การวิ่งได้ไกลมากขึ้นต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แหล่งข้อมูล
https://www.facebook.com/361785967223979/posts/4912967938772403/