หลังรัฐบาลออกมาตรการใหม่ เพื่อส่งเสริมการสร้างตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) ขึ้นในประเทศอย่างรวดเร็ว โดยให้การสนับสนุนทั้งในส่วนของผู้ซื้อรถยนต์ ผู้ผลิตรถยนต์ และธุรกิจให้บริการชาร์จรถไฟฟ้า ทำให้ตลาดรถยนต์ BEV ในประเทศปรับเข้าสู่โหมดการแข่งขันอย่างคึกคักขึ้นทันที
เห็นได้จากความสนใจในการจองรถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์ 2565 นำโดยค่ายรถจีน ที่แม้ในแง่ภาพแบรนด์จะยังใหม่และมีฐานตลาดน้อยกว่าเจ้าตลาดเก่า แต่เพราะมีความพร้อมในแง่ของเทคโนโลยี และมีสต๊อกสินค้ามากพอสำหรับนำเข้ามาจำหน่ายได้ทันที จึงอาศัยช่องว่างทางการตลาดในปัจจุบัน สร้างฐานลูกค้าได้ก่อนค่ายรถกระแสหลัก ที่คาดว่าจะเริ่มทำตลาดได้ในช่วงปลายปี
ทั้งนี้ จุดแข็งสำคัญในการทำตลาดของค่ายรถจีน ที่ดูเหมือนจะได้ผลดีมากในปัจจุบัน คือ การเลือกผลิตภัณฑ์บุกตลาดและการตั้งราคาที่ดึงดูดใจผู้ซื้อในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนของมาตรการทางด้านภาษีและเงินสนับสนุนของภาครัฐ 70,000 – 100,000 บาท มาช่วยกระตุ้นทำให้รถยนต์ BEV สัญชาติจีนขยับราคาลงไปสูสีกับรถยนต์ใช้น้ำมันที่ไม่ได้รับการสนับสนุนของภาครัฐ
ท่ามกลางสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงที่ยังไม่มีทีท่าจะจบลง จึงยิ่งส่งให้รถยนต์ BEV สัญชาติจีนมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้เปรียบในการสร้างความรับรู้และชิงส่วนแบ่งการตลาดได้ก่อนเลยในทันที
ซึ่งนับจากนี้คาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการบุกตลาดและเข้ามาลงทุนของค่ายรถสัญชาติจีนรายใหม่ ๆ ที่ชัดเจนขึ้น ทั้งที่เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตเอง และที่ร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยให้เป็นผู้ประกอบรถให้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผู้ซื้อรถยนต์ BEV อาจได้เห็นรถยนต์หลายรุ่นที่ลงมาแข่งขันกันในตลาดกลุ่ม Mass ยิ่งขึ้นกว่าปัจจุบัน
ส่งผลให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าปี 2565 นี้ รถยนต์ BEV สัญชาติจีน จะมีโอกาสสร้างส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 58% ของยอดขายรถยนต์ BEV รวมในปีที่แล้ว ขึ้นเป็นกว่า 80% ในปีนี้ จากยอดขายรถยนต์ BEV รวมที่คาดว่าจะมีมากกว่า 10,000 คัน ขยายตัวมากกว่า 412.0% (YoY) หลังปีที่แล้วจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกที่ 1,954 คัน โดยกลุ่มผู้ซื้อหลักนอกจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและได้รับผลกระทบน้อยจากภาวะเศรษฐกิจแล้ว อีกกลุ่มที่ช่วยดันยอดให้ขึ้นสู่ตัวเลขดังกล่าว น่าจะเป็นกลุ่มลูกค้า Fleet องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีศักยภาพในช่วงที่ตลาดผู้บริโภคส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับภาวะกำลังซื้อชะลอลง
ส่วนรถยนต์ BEV สัญชาติตะวันตกที่กลุ่มผู้ซื้อมีศักยภาพสูง แม้บางค่ายรถจะไม่ได้เข้าร่วมโครงการของภาครัฐ แต่ก็จะได้แรงกระตุ้นจากอานิสงส์ของการเร่งขยายสถานีชาร์จ เพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้สูงขึ้น
ขณะที่ค่ายญี่ปุ่น ที่อาจเข้ามาทำตลาดได้ช้ากว่าค่ายอื่น จึงทำให้มีช่วงเวลาในการสร้างส่วนแบ่งในตลาดในปี 2565 นี้สั้นกว่า แต่หากทำราคาได้ดีและเหมาะสม เชื่อว่าในปี 2566 อาจมีโอกาสกลับมาทวงส่วนแบ่งการตลาดคืนได้
ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้า BEV ปี 2564 : ยอดขายรวม 1,935 คัน
จีน 58%
ตะวันตก 30%
ญี่ปุ่น 10%
อื่น ๆ 2%
คาดการณ์ ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้า BEV ปี 2565 : ยอดขายรวมเกิน 10,000 คัน
จีน 80%
ตะวันตก 14%
ญี่ปุ่น 5%
อื่น ๆ 1%
สำหรับปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ตลาดรถยนต์ BEV ในปีนี้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด มาจากแนวทางการส่งเสริมการสร้างตลาดและระบบนิเวศ ที่เอื้อต่อการใช้งานรถยนต์ BEV ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจากทางภาครัฐ อย่างการใช้มาตรการด้านภาษี รวมถึงการให้เงินสนับสนุนที่ช่วยทำให้ระดับราคาปรับลดลงมาก, การสนับสนุนให้เกิดสถานีชาร์จไฟฟ้า
และที่อาจจะได้เห็นตามมาในอนาคต เช่น การช่วยติดตั้งตู้ชาร์จไฟฟ้าให้ที่บ้าน รวมถึงการขอมิเตอร์พิเศษแยกออกจากมิเตอร์ไฟบ้าน ซึ่งจะช่วยทำให้รถยนต์ BEV ที่ขายในประเทศตั้งราคาได้ถูกลง โดยเฉพาะรถยนต์ BEV ระดับ Mass เนื่องจากไม่ต้องมีการคำนวณเงินค่าตู้ชาร์จไฟฟ้าเข้าไปในราคารถยนต์ที่ขาย
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนเอง ก็เล็งเห็นถึงโอกาสเติบโตจึงเร่งเครื่องกระตุ้นตลาด BEV ด้วยอีกทางเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการให้สินเชื่อพิเศษสำหรับรถยนต์กลุ่ม BEV และการเริ่มหาช่องทางขยายจุดชาร์จไฟฟ้า ไปตามสถานที่หลากหลายเพิ่มขึ้น เช่น อาคารที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงเรียน โรงพยาบาล ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ รวมถึงขยายไปทั่วประเทศ ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ BEV สามารถหาสถานที่ชาร์จไฟฟ้าได้สะดวกรวดเร็วขึ้นกว่าในอดีต
อย่างไรก็ตาม ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่กำลังปะทุอยู่ในปัจจุบันอันนำมาซึ่งวิกฤติราคาพลังงาน ที่ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะจบเมื่อไร ทำให้ต้องมีการปรับขึ้นค่าเอฟที ซึ่งมีผลให้ค่าไฟเพิ่มสูงขึ้น
และอีกด้านก็ยังนำมาสู่ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงต้นทุนสินแร่ที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่และชิ้นส่วนอื่นที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ทำให้มีโอกาสที่ราคารถยนต์ BEV ของค่ายที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจะปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสที่ความสามารถในการผลิตรถยนต์ เพื่อนำเข้ามาขายในไทย อาจจะไม่เพียงพอรองรับคำสั่งซื้อที่เกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยไทยเป็นตลาดรถที่มีระดับราคาขายปลีกสูงกว่าประเทศผู้ผลิตต้นทาง ประกอบกับการแข่งขัน เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ในตลาดปัจจุบันมีสูง เนื่องจากกำลังได้รับการสนับสนุนด้านราคาจากทางภาครัฐ จึงมีโอกาสที่ค่ายรถอาจดึงรถยนต์ BEV บางส่วนมาเร่งทำตลาดที่ไทยก่อน
แหล่งข้อมูล
https://www.facebook.com/1387231808035873/posts/4919223701503315/