‘นูทานิคซ์’ ส่องเทรนด์ดิจิทัล ขับเคลื่อนโลกธุรกิจปี 66

Share

Loading

นูทานิคซ์ เผยแนวโน้มทางเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อธุรกิจในปี 2566 ยุคที่กำลังผ่านพ้นการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ซึ่งทุกบริษัทควรให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เพื่อการปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงและพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เวนดี้ เอ็ม. ไฟเฟอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศ (ซีไอโอ) และ รองประธานอาวุโส นูทานิคซ์ วิเคราะห์ว่า ธุรกิจกำลังเผชิญกับความกดดันใหม่ๆ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านไอที

ทุกวันนี้องค์กรจำนวนมากต่างตระหนักว่าไม่สามารถเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันไปยังคลาวด์ได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่าใช้จ่ายเหมือนที่คิดไว้ตั้งแต่แรก ขณะเดียวกันต้องใช้เวลาและความสามารถสูงมาก เพื่อปรับแอปพลิเคชันที่ใช้อยู่ในระบบภายในองค์กรให้สามารถนำไปใช้งานบนคลาวด์ได้

ดังนั้นความคุ้มค่าในการใช้คลาวด์ (Cloud economics) กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้เกิดการตัดสินใจรูปแบบใหม่ๆ เกี่ยวกับแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานไอที :

นอกจากนี้ สิ่งที่จะยังไม่เปลี่ยนแปลงในอีกหลายปีข้างหน้า คือ การใช้คลาวด์มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ ธุรกิจจะเน้นกลยุทธ์ว่าจะนำเวิร์กโหลดใดไปใช้งานบนคลาวด์และเวิร์กโหลดใดที่ยังคงใช้อยู่ในไพรเวทคลาวด์ภายในองค์กร ทั้งจะให้ความสำคัญมากขึ้นกับโซลูชันในรูปแบบมัลติคลาวด์ ที่สามารถเคลื่อนย้ายเวิร์กโหลดไปใช้งานกับทุกสภาพแวดล้อมได้

รับมือวิกฤติ ‘พลังงาน’

อีกเทรนด์ที่น่าสนใจ การใช้กระบวนการทำงานแบบอะซิงโครนัสที่ไม่จำเป็นต้องทำงานในเวลาเดียวกัน และรองรับการทำงานร่วมกันจากบุคลากรทั่วโลกจะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของงาน :

แนวทางการทำงานร่วมกันแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันจากหลายแห่งที่มีโซนเวลาต่างกัน จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมในปี 2566

บริษัทต่างๆ จึงควรทบทวนแนวทางในการทำงานร่วมกันแบบอะซิงโครนัส ที่ไม่ต้องการการตอบกลับแบบทันที รวมทั้งเครื่องมือและนโยบายต่างๆ ที่จะสนับสนุนแนวทางนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการจะบรรลุผลสำเร็จได้นั้น องค์กรจะต้องแทนที่ความซับซ้อนด้วยความเรียบง่าย และระบบอัตโนมัติจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้น

วิกฤติด้านพลังงานของโลกจะส่งผลให้องค์กรต่างๆ ทบทวนรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานและปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมามากขึ้น :

องค์กรต่างๆ ได้รับนโยบายให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมันไม่เพียงเป็นประเด็นเรื่องความยั่งยืนเท่านั้น ทว่าประเด็นเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้านลูกค้าเองจะใช้เรื่องนี้เพื่อประกอบการพิจารณาเมื่อจะเลือกใช้บริการต่างๆ

จุดเปลี่ยนอิทธิพล ‘โซเชียลมีเดีย’

นูทานิคซ์ ประเมินด้วยว่า รูปแบบการทำงานบนเครือข่ายแบบไม่จำกัดขอบเขต (Untethered edge) จะแพร่หลายมากขึ้น :

ปัจจุบัน ธุรกิจมีความคาดหวังว่า ต้องสามารถรันแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีการเชื่อมต่อหรือไม่ก็ตาม อีกทางหนึ่งรูปแบบการทำงานต้องไม่จำกัดขอบเขต (untethered operating model) ซึ่งรูปแบบการทำงานแบบปิด (closed-out models) ไม่สามารถรองรับการทำงานลักษณะนี้ได้

องค์กรจึงต้องความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ปรับขนาดได้ง่าย รองรับเวิร์กโหลดหลากหลาย ภายใต้แนวทางการบริหารจัดการที่ครอบคลุมจากเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ไปจนถึงพับลิคคลาวด์ ผ่านวิธีการบริหารจัดการคลาวด์ที่สอดคล้องกัน

เทรนด์สุดท้าย การขยายตัวอย่างรวดเร็วของการใช้โซเชียลมีเดียจะกระทบต่อแพลตฟอร์มต่างๆ อย่างมาก : จากปี 2565 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปีทองของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ปีนี้แนวโน้มก็จะยังเป็นเช่นนี้ต่อไป

ที่น่าจับตามอง ประการแรก องค์กรจำนวนมากที่พึ่งพาข้อมูลที่ซื้อจากบริษัทด้านโซเชียลมีเดียเพื่อปรับอัลกอริทึมของตนอาจบรรลุผลได้น้อยลง เพราะชุดข้อมูลล้าสมัยและถูกต้องน้อยลง

ประการที่สอง ชุดข้อมูลเหล่านั้นมักเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ป้อนให้กับเครื่องมือที่เป็นปัญญาประดิษฐ์และแมชีนเลิร์นนิ่งได้เรียนรู้ ดังนั้นการที่ชุดข้อมูลล้าสมัยจึงคาดการณ์ได้ว่าเอไอและแมชีนเลิร์นนิงที่พึ่งพาข้อมูลเหล่านั้นก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลงตามไปด้วย

แหล่งข้อมูล

https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1048284