ในสหรัฐอเมริกา การผลักดันเพื่อจำกัดการเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ของเด็กอย่างถูกกฎหมายกำลังได้รับการสนับสนุนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิจัยกล่าวว่ามีทั้งด้านบวกและด้านลบของการใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของเด็กและเยาวชน
หลังจากผู้ว่าการรัฐยูทาห์ สเปนเซอร์ ค็อกซ์ จากพรรครีพับลิกัน ได้ลงนามรับรองกฎหมายสองฉบับ ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024 ที่จะเปลี่ยนแปลงการเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ของเด็กและเยาวชนที่นั่นไปตลอดกาล โดยมาตรการใหม่ในรัฐยูทาห์ จะไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าถึงโซเชียลมีเดีย หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง
ผู้ว่าการรัฐยูทาห์ กล่าวว่า “คณะทำงานของเรา กังวลถึงผลกระทบของสื่อสังคมออนไลน์ต่อเยาวชน อัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ในวัยรุ่นกำลังเพิ่มขึ้น และบริษัทสื่อสังคมออนไลน์ก็ทราบดีว่า ผลิตภัณฑ์ของพวกเขา เป็นพิษภัยต่อผู้ใช้งาน”
ผู้ว่าการรัฐและฝ่ายนิติบัญญัติในหลายรัฐของอเมริกา ต้องการให้บริษัทสื่อสังคมออนไลน์รับผิดชอบ ต่อสิ่งที่พวกเขาอ้างว่า มีลักษณะที่ทำให้ผู้ใช้งานเกิดการ “เสพติด”
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ที่สามารถสรุปได้ว่าโซเชียลมีเดียเป็นสาเหตุหลักของปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชน
มิทช์ พรินสไตน์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านวิทยาศาสตร์ จากสมาคม American Psychological Association แย้งว่า “เราต้องพูดคุยเกี่ยวกับคุณลักษณะเฉพาะที่มีอยู่ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และเนื้อหาเฉพาะที่เด็กอาจได้รับในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งอาจเป็นทั้งประโยชน์หรือเป็นอันตรายต่อเด็ก ๆ บางคน”
บริษัท Meta ที่เป็นเจ้าของ Instagram กล่าวกับวีโอเอ ผ่านแถลงการณ์ว่า นอกจากการลบเนื้อหาที่ส่งเสริมการทำร้ายตนเองแล้ว ยังมีเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กวัยรุ่นได้สัมผัสประสบการณ์ที่เหมาะสมกับอายุ
ทางด้านโฆษกตัวแทนของบริษัท Snapchat กล่าวกับวีโอเอ โดยชี้ว่า Snapchat ยังได้รับการประเมินอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นแพลตฟอร์มที่มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม โรงเรียนในนครซีแอตเติลและรัฐอื่นๆ ได้ยื่นฟ้องต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤติด้านสุขภาพจิตในกลุ่มนักเรียน
ในทัศนะของ เคท เดวิส นักวิจัยด้านสื่อดิจิทัล มองว่าบ่อยครั้งที่สื่อสังคมออนไลน์มักจะขยายความบกพร่องที่มีอยู่แล้ว แต่มันก็เป็นเครื่องมือที่มีด้านบวกอยู่ด้วย
เดวิส กล่าวว่า “ในแง่การเข้าถึงข้อมูล และให้การสนับสนุนทางออนไลน์ สำหรับเยาวชนที่กำลังค้นหาตัวตนในรูปแบบต่าง ๆ”
ลินดา ชาร์มารามัน นักวิจัยที่ปรึกษาอิสระของบริษัท Meta ระบุว่า สื่อสังคมออนไลน์ยังสร้างโอกาสทางการศึกษาอีกด้วย เธอสนับสนุนให้บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ทำงานใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์มากขึ้น เพื่อหาวิธีที่มีประสิทธิภาพ ในการสนับสนุนสุขภาพที่ดี ของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่มีอายุน้อย
นักวิจัยคนนี้กล่าวว่า “ค้นหาวิธีใหม่ๆ ที่น่าสนใจเพื่อระบุถึงคนที่ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาสามารถหาวิธีที่จะทำให้สื่อสังคมออนไลน์ไม่เป็นการล่อลวงได้”
ชาร์มารามัน เชื่อว่าพ่อแม่และครู ควรที่จะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์และความท้าทายของสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้พวกเขาสามารถระบุพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในเด็ก และให้คำแนะนำได้อย่างเหมาะสม
แหล่งข้อมูล