จ่อลดชนิดน้ำมันเหลือ ‘น้ำมันดีเซล-แก๊สโซฮอล์’ หนุนสังคมคาร์บอนต่ำ

Share

กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน เตรียมพร้อมปรับลดชนิดน้ำมัน เหลือ “ดีเซล-แก๊สโซฮอล์” อย่างละเกรด หนุนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า จากการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) เพื่อให้เป็นไปตามตามแผนพลังงานชาติ 2523(National Energy Plan 2023) ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงเตรียมนำเสนอรัฐบาลใหม่นั้น กรมฯ มีหน้าที่จัดทำแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan 2023) ถือเป็น 1 ในแผนที่ผนวกรวมอยู่ในแผนพลังงานชาติที่รวมเอาทั้ง 5 แผนพลังงานไว้ด้วยกัน ประกอบด้วย

1 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP)

2 แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP)

3 แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP)

4 แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan)

5 แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan)

อย่างไรก็ตามกรมได้จัดทำ Oil Plan เสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างรอเปิดรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มใหญ่ เพื่อดำเนินการพร้อมกับการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ หรือ PDP ให้แล้วเสร็จ โดยคาดว่าจะต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่พิจารณาเห็นชอบต่อไป

1 บริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้มีความมั่นคงด้านพลังงาน โดยเตรียมศึกษาปรับปรุงอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานร่วมกับผู้ค้าน้ำมันมาตรา 7 จากปัจจุบัน กำหนดให้สำรองน้ำมันตามกฎหมาย 6% แบ่งเป็นน้ำมันดิบ 5% และน้ำมันสำเร็จรูป 1% หรือรวมกันอยู่ที่ประมาณ 63 วัน

2 การบริหารชนิดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่งด้วยการลดชนิดน้ำมันและส่งเสริมน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยในปี 2567 มุ่งให้เหลือน้ำมันดีเซล B7 เป็นดีเซลหลัก แต่หากผลทดสอบยูโร 5 สามารถใช้กับดีเซล B10 ได้ ก็จะปรับเป็น B10 ในอนาคต ส่วนกลุ่มเบนซินกำหนดให้แก๊สโซฮอล์ E10 และ E20 เป็นเบนซินชนิดหลักภายในปี 2570 ส่วนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ภาคขนส่งมุ่งส่งเสริมให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด

ทั้งนี้มีเป้าหมายที่จะลดหัวจ่ายน้ำมันในสถานีบริการลง โดยอยากให้ทั้งกลุ่มดีเซลและกลุ่มแก๊สโซฮอล์ เหลือเพียงเกรดเดียว ซึ่งเดิมอยากให้ใช้ E20 เป็นน้ำมันหลัก แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย ถ้าไม่สามารถผลักดันได้ สุดท้ายกลไกตลาดก็จะเน้น E10 เป็นน้ำมันหลักแทน รวมถึงยังมีเป้าหมายที่จะประกาศยกเลิกแก๊สโซฮอล์ระหว่าง 95 กับ 91 ให้เหลือชนิดเดียวด้วย

“การปรับลดชนิดน้ำมันในแผนฯ ได้คำนึงถึงการสิ้นสุดมาตรการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงชีวภาพของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ที่กำหนดให้ดำเนินการไม่เกินปี 2569 เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯ จะไม่สามารถนำเงินมาอุดหนุนราคาน้ำมันได้อีกต่อไป และการลดชนิดน้ำมันลงยังจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและส่งผลดีต่อการบริหารจัดการน้ำมันในประเทศ” 

3 ส่งเสริมการใช้และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งส่งเสริมระบบขนส่งน้ำมันทางท่อให้เป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ผ่านการบริหารที่มุ่งเน้นแบบ Single Operator เพื่อผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางขนส่งและจำหน่ายน้ำมันไปยังประเทศ CLMV

นอกจากนี้กรมฯ ยังได้ร่วมมือกับ 3 การไฟฟ้า และสถานีบริการทั่วประเทศ ส่งเสริมการติดตั้งสถานีประจุไฟฟ้าสาธารณะในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเร่งจัดทำมาตรฐานความปลอดภัยให้เป็นทิศทางเดียวกัน และพัฒนาการให้บริการให้เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว สร้างความโปร่งใสในการบริหารงานผ่านระบบ e-Service คาดว่าจะศึกษาจัดวางระบบได้ภายในปี 2566 และเปิดขออนุมัติ อนุญาตกิจการด้านความปลอดภัยได้ภายในปี 2567 และขยายการใช้งานระบบไปยังส่วนภูมิภาคได้ภายในปี 2568

4 ส่งเสริมธุรกิจใหม่ (New Businesses) โดยการสนับสนุนการปรับตัวของโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมจากผลกระทบการเข้ามาของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยมุ่งให้โรงกลั่นปรับไปสู่โรงกลั่นชีวภาพ และนำไปสู่ปิโตรเคมีขั้นสูง โดยจะเป็นตัวกลางในการประสานการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าราว 34,900 ล้านบาทภายใน 5 ปี

แหล่งข้อมูล

https://www.springnews.co.th/keep-the-world/energy/840445