AIS 5G – กลุ่ม ปตท. ร่วมโชว์เทคโนโลยี Autonomous Drone System (Horrus) อากาศยานไร้คนขับรุ่นแรกของไทยที่ดึงศักยภาพ “AI – คลาวด์ – IoT” ที่เชื่อมต่อรับส่งข้อมูลผ่านโครงข่ายอัจฉริยะ 5G สามารถสั่งการควบคุมโดรนระยะไกลจากศูนย์ควบคุมได้เสถียรมากขึ้น รับส่งข้อมูลได้เรียลไทม์
นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า เป้าหมายการทำงานของ AIS ที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะหรือ Cognitive Tech-Co ผ่านแนวคิด Ecosystem Economy ด้วยการสร้างการเติบโตแบบร่วมกัน ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของภาคอุตสาหกรรมและองค์กรภาคธุรกิจของประเทศ โดยมีเทคโนโลยี 5G เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างเทคโนโลยีใหม่ ทั้ง คลาวด์ AI IoT โดยขณะนี้โครงข่าย 5G ของ AIS ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพ และอีอีซี 100% และครอบคลุมทั่วประเทศ 87%
โดย AIS ได้ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. พัฒนานวัตกรรมในเขตพื้นที่พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi มาตั้งแต่ปี 2561 ผ่านการทำงานอย่างใกล้ชิดกับบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด (ARV) ในเครือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. สผ.
ล่าสุดได้ร่วมกันยกระดับเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ โดยเปิดตัว 5G AI Autonomous Drone System (Horrus) ครั้งแรกของไทย ที่พัฒนาโดยฝีมือคนไทย โดยเป็นโดรน ที่สามารถสั่งการระยะไกลได้จากศูนย์ควบคุม มีการนำเทคโนโลยี AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ที่มีความฉลาดและอัจฉริยะเข้ามาเสริมขีดความสามารถการทำงาน และเป็นครั้งแรกของโดรนที่ทำงานจริงบนโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ผ่านเทคโนโลยี Autonomous Network มาใช้ในการบริหารจัดการระบบ Network ได้อย่างคล่องตัว ช่วยให้บริหารจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยได้ตลอด 24 ชม.
“ทีมวิศวกรของ AIS ได้จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานไว้อย่างสมบูรณ์ อาทิ การออกแบบ Network Architecture หรือ สถาปัตยกรรมโครงข่าย 5G SA (Standalone) บนคลื่น 2600 MHz โดยใช้ศักยภาพของเทคโนโลยี Autonomous Network ซึ่งมีความอัจฉริยะในการจัดการระบบได้ด้วยตัวเอง, การใช้ Network Slicing เพื่อตอบสนองแอปพลิเคชันที่ต้องการคุณสมบัติทางเครือข่ายที่แตกต่างกัน รวมถึงบริการ MEC (Multi-access EDGE Computing) และ PARAGON Platform เพื่อรองรับการบริหารจัดการ และพัฒนาโซลูชั่นที่ต้องการความหน่วงต่ำด้วย ถือเป็น 5G Testbed พื้นที่สำหรับทดสอบทดลองที่เปิดกว้างให้องค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรมไทยในการพัฒนาโซลูชั่นเพื่อการใช้งานจริง”
นายธนพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของทีมงานทุกฝ่ายที่ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของคนไทยในการพัฒนาแพลตฟอร์มอัตโนมัติสำหรับโดรน ด้วยการผสานเทคโนโลยี AI และขีดความสามารถของ 5G เป็นครั้งแรก เพื่อรองรับและตอบโจทย์การทำงานของ AI Autonomous Drone System(Horrus) ที่พัฒนาโดยบริษัท ARV ในด้านต่างๆ ที่ต้องครอบคลุมเส้นทางการบินให้มีความเสถียรและปลอดภัย สามารถทำงานได้อย่างอัจฉริยะในการตรวจสอบ รับและส่งต่อข้อมูลทั้งภาพ เสียง และวีดีโอ กลับมายังศูนย์ควบคุมได้แบบรวดเร็วและ Real time นับเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของ AIS ในการนำขุมพลังของ 5G เข้ามาสร้างโอกาสใหม่ให้กับภาคอุตสาหกรรม และนำไปสู่การสร้างจุดแข็งให้กับประเทศต่อไป
ด้าน นายธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด (ARV) ผู้พัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ของไทย ภายใต้ ปตท.สผ. กล่าวว่า ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ของไทย เรามุ่งสร้างความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสนับสนุนความเป็นอยู่ของผู้คนในทุกระดับ
โดย 5G AI Autonomous Drone System (Horrus) เป็นอีกหนึ่งใน Use Case ที่ประสบความสำเร็จ สามารถใช้งานได้จริงแล้วในพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ที่มีความพร้อมด้านพื้นที่เพื่อการทดสอบทดลอง จากการผ่อนปรนกฎระเบียบพิเศษ สำหรับทดลองทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม หรือ UAV Regulatory Sandbox และความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 5G ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่นำมาใช้พัฒนา Solution นี้
ถือเป็นครั้งแรกที่มีการพัฒนาโดรนอัจฉริยะฝีมือคนไทยที่มีระบบ AI เข้ามาเป็นหัวใจหลักในการทำงานด้วยเครือข่ายไร้สายอัจฉริยะ 5G และ Network Slicing ช่วยเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล ลดความหน่วงในการสั่งการควบคุมโดรน อีกทั้งยังรองรับการควบคุมระยะไกลที่เสถียรมากกว่าสัญญาณวิทยุและ Wifi
การทำงานร่วมกับ AIS ในครั้งนี้เป็นการยกระดับศักยภาพการทำงานของโดรนให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการทำงานได้แบบอัตโนมัติตามเวลาและเส้นทางการบินที่กำหนด นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับสิ่งผิดปกติและส่งแจ้งเตือนกลับมาที่ศูนย์ควบคุมได้แบบ Real time ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในการบริหารจัดการความปลอดภัย และยังลดความเสี่ยงจากการปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงหรือมีข้อจำกัด อาทิ การใช้โดรนตรวจสอบการทำงานในพื้นที่โรงงาน หรือในพื้นที่สำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติ และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ในธุรกิจของกลุ่ม ปตท.
แหล่งข้อมูล