แนวคิดเรื่อง “เมืองที่มีความยืดหยุ่น” หรือ “เมืองยืดหยุ่น” Resilient City เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
น้ำท่วมคราวนี้ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อพื้นที่เมือง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ย การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของฝน ภัยแล้งที่ยาวนานขึ้น และความถี่ที่เพิ่มขึ้นของพายุรุนแรง
เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โครงสร้างพื้นฐานของเมือง และระบบนิเวศโดยรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครและเมืองหลักในภูมิภาคต่างๆ
การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของการพัฒนาเมืองที่มีความยืดหยุ่นในประเทศไทย ซึ่งเผชิญกับปัญหาทั้งน้ำท่วมและภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ การสร้างพื้นที่รับน้ำและแก้มลิงในเมือง รวมถึงการปรับปรุงระบบการจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเมืองในการรับมือกับความเสี่ยงด้านน้ำ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญ การออกแบบและก่อสร้างอาคาร ถนน และสาธารณูปโภคจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เช่น การยกระดับถนนและอาคารในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม การเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างเพื่อรับมือกับพายุที่รุนแรงขึ้น และการออกแบบระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพเพื่อรับมือกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น
การส่งเสริมพื้นที่สีเขียวและการเพิ่มพื้นที่ป่าในเมือง เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญ พื้นที่สีเขียวช่วยลดอุณหภูมิในเมือง บรรเทาผลกระทบจากปรากฏการณ์เกาะความร้อนเมือง ช่วยในการดูดซับน้ำฝน และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมฉับพลัน
นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งเสริมสุขภาวะของประชาชนในเมือง
การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญ การพัฒนาระบบรถไฟฟ้า
การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และการสร้างโครงข่ายทางจักรยานที่ปลอดภัยไม่เพียงแต่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบขนส่งในยามที่เกิดภัยพิบัติหรือสภาวะฉุกเฉิน
การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในเมือง เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนอาคารและพื้นที่สาธารณะ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานในอาคาร
และการพัฒนาระบบไมโครกริดเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานในระดับชุมชนล้วนเป็นมาตรการที่จะช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและเพิ่มความสามารถในการรับมือกับวิกฤติพลังงานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเมืองที่มีความยืดหยุ่น การสร้างเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง
การให้ความรู้และการฝึกอบรมเกี่ยวกับการรับมือกับภัยพิบัติ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการวางแผนและตัดสินใจเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองล้วนเป็นสิ่งสำคัญ ชุมชนที่มีความเข้มแข็งและมีความรู้จะสามารถรับมือกับภัยพิบัติและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
การพัฒนาระบบเตือนภัยและการจัดการภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญ การลงทุนในเทคโนโลยีการพยากรณ์อากาศและการเตือนภัยล่วงหน้า
การพัฒนาแผนรับมือภัยพิบัติที่ครอบคลุมและมีการซ้อมแผนอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการสร้างศูนย์บัญชาการและควบคุมภัยพิบัติที่ทันสมัย ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นในการลดความเสียหายและการสูญเสียชีวิตจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น
การส่งเสริมนวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการพัฒนาเมืองที่มีความยืดหยุ่น การนำเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) มาใช้ในการติดตามและควบคุมการใช้พลังงานและทรัพยากรในเมือง
การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มด้านสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อให้ข้อมูลและคำแนะนำแก่ประชาชนในยามฉุกเฉิน ล้วนเป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเมือง
การพัฒนาเมืองที่มีความยืดหยุ่นในประเทศไทย จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการแนวทางและมาตรการที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ
การวางแผนและการดำเนินการอย่างมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเมืองที่ไม่เพียงแต่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังสามารถเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
การลงทุนในการพัฒนาเมืองที่มีความยืดหยุ่นอาจมีค่าใช้จ่ายสูงในระยะสั้น แต่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ทั้งในแง่ของการลดความเสียหายจากภัยพิบัติ การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้อยู่อาศัยในเมืองภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แหล่งข้อมูล