เปิดเบื้องลึก หมัดเด็ด “ตุรกี” เสริมแกร่ง Medical Tourism ด้วยธุรกิจ “ปลูกผม” ได้อย่างไร

Share

Loading

นักท่องเที่ยวหลายสิบล้านคนหลั่งไหลสู่ตุรกีในแต่ละปี ส่วนใหญ่เดินทางมาเพื่อสัมผัสมนต์เสน่ห์ของการบรรจบกันระหว่างตะวันออกและตะวันตก ดินแดนแห่งนี้คือจุดเชื่อมต่อระหว่างยุโรปและเอเชีย ที่ซึ่งประวัติศาสตร์โอบกอดความทันสมัย และวัฒนธรรมหลอมรวมเข้ากับความมีสไตล์อย่างลงตัวจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ที่หาไม่ได้จากที่ใดในโลก แต่ท่ามกลางคลื่นมหาชนจากทั่วทุกมุมโลก กลับมีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาด้วยเป้าหมายที่แตกต่างออกไป พวกเขาไม่ได้มองหาประวัติศาสตร์ หรือวัฒนธรรม หากแต่กำลังตามหา “เส้นผม” ที่หายไปของตัวเอง

เซอร์เวต เทอร์ซิเลอร์ ประธานสมาคมการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพของตุรกี (TÜSATDER) ให้สัมภาษณ์กับ Milliyet หนังสือพิมพ์ชั้นนำของตุรกี เผยถึงเส้นทางแห่งความสำเร็จของตุรกีในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ซึ่งเริ่มต้นจากธุรกิจปลูกผมที่สร้างรายได้มหาศาลกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

“จุดเริ่มต้นเกิดจากนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและคาบสมุทรอาหรับที่แห่กันมาที่อิสตันบูล และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแสความนิยมได้ขยายตัวไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรปอย่างรวดเร็ว”

เขาเน้นย้ำว่า ภาคธุรกิจที่เติบโตแบบก้าวกระโดดนี้ดึงดูดคนหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่คนทั่วไป คนดังจากสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงเจ้าพ่อวงการสิ่งทอจากอินเดียและปากีสถาน ที่บางคนถึงกับใช้เครื่องบินส่วนตัวเดินทางมา บางรายเดินทางจากออสเตรเลีย แม้ต้องบินข้ามทวีปนานถึง 24 ชั่วโมงเต็ม กระทั่งผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่า 80 ปี ก็ยังยอมเดินทางมาเพื่อสัมผัสประสบการณ์การปลูกผมในตุรกี

ไฮไลต์ที่สร้างความฮือฮาที่สุด คือการเปิดตัวนวัตกรรมล้ำสมัยอย่าง “หุ่นยนต์ปลูกผม” ซึ่งไม่เพียงลดความเสี่ยงจากการเสียเลือดในระหว่างการผ่าตัด แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถติดตามกระบวนการผ่าตัดได้แบบเรียลไทม์ เซอร์เวต เทอร์ซิเลอร์ย้ำว่า นี่คือเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เขาวางแผนจะนำไปเปิดตัวในตลาดต่างประเทศ เพื่อขยายความสำเร็จของตุรกีสู่เวทีโลก!

เมื่อวิเคราะห์เจาะลึก พบว่ามีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ทำให้การเดินทางมาปลูกผมในตุรกีกลายเป็นที่นิยม ได้แก่

ราคาที่เอื้อมถึงและความคุ้มทุน : จุดดึงดูดที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งสำหรับลูกค้าต่างชาติคือราคาที่เอื้อมถึงของขั้นตอนการปลูกผมในตุรกี โดยทั่วไปราคาจะอยู่ระหว่าง 1,800 ถึง 4,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งต่ำกว่าในประเทศตะวันตกที่ค่าใช้จ่ายอาจสูงเกิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนต่างของราคานี้ทำให้ผู้ป่วยประหยัดได้มากถึง 50% ถึง 70% เลยทีเดียว เมื่อเทียบกับขั้นตอนการปลูกผมในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

คุณภาพการดูแลรักษาและความเชี่ยวชาญของศัลแพทย์ : ตุรกีมีศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงซึ่งเชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูเส้นผมจำนวนมาก คลินิกหลายแห่งใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การสกัดหน่วยรากผม (FUE) และการปลูกผมโดยตรง (DHI) ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการเกิดแผลเป็นน้อยและระยะเวลาพักฟื้นสั้น ในตุรกีมีคลินิกปลูกผมมากกว่า 500 แห่ง โดยเฉพาะในอิสตันบูล ซึ่งศัลยแพทย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำหัตถการที่ประสบความสำเร็จหลายพันครั้งต่อปี

สำหรับ FUE หรือ Follicular Unit Extraction เป็นวิธีการปลูกผมที่ได้รับการยกย่องในเรื่องความละเอียดและผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ขั้นตอนเริ่มจากการใช้เครื่องมือขนาดเล็กพิเศษ สกัดเอา หน่วยรากผม (Hair Follicular Units) ออกมาจากบริเวณที่มีเส้นผมหนาแน่น เช่น ด้านหลังศีรษะหรือบริเวณท้ายทอย จากนั้นรากผมเหล่านี้จะถูกนำไปปลูกในบริเวณที่ต้องการเพิ่มความหนาแน่น ข้อดีของ FUE คือเจ็บน้อย เพราะไม่มีการตัดหนังศีรษะแบบเดิม และแผลขนาดเล็กมากจนแทบมองไม่เห็น ทั้งยังใช้เวลาในการฟื้นตัวเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกลับไปใช้ชีวิตประจำวันอย่างรวดเร็ว แต่ความละเอียดในการสกัดหน่วยรากผมต้องอาศัยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียนและดูสมจริงที่สุด

ส่วน DHI หรือ Direct Hair Implantation ยกระดับการปลูกผมไปอีกขั้น ด้วยการใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า Choi Implanter Pen ทำให้รากผมที่สกัดออกมาสามารถปลูกลงในบริเวณที่กำหนดได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการเตรียมหลุมปลูก (Incisions) แบบวิธี FUE

ความพิเศษของ DHI อยู่ที่ความแม่นยำสูง เพราะศัลยแพทย์สามารถควบคุมมุม ทิศทาง และความลึกของการปลูกได้อย่างละเอียด ลดเวลาในการปลูกผม เพราะรากผมถูกปลูกในทันทีหลังการสกัด ช่วยเพิ่มโอกาสให้รากผมมีชีวิตรอดสูงขึ้น นอกจากนี้ แผลยังเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และผลลัพธ์ดูแนบเนียนเสมือนเส้นผมธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม การใช้เทคนิค DHI ต้องการทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเทคนิค FUE

แพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงการแพทย์แบบครบวงจร : หากพูดถึงการปลูกผมในตุรกี สิ่งหนึ่งที่ทำให้ประเทศนี้โดดเด่นเหนือคู่แข่งคือ แพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงการแพทย์แบบครบวงจร ซึ่งไม่ได้หยุดอยู่แค่การผ่าตัดปลูกผมเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมทุกมิติของการเดินทาง ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบแผ่นดินตุรกี จนถึงช่วงเวลาที่กลับบ้านด้วยความมั่นใจในรูปลักษณ์ใหม่

แล้วมีอะไรบ้างที่รวมอยู่ในแพ็กเกจครบวงจรนี้? คำตอบคือ 1. การประเมินและวางแผนล่วงหน้าก่อนเดินทาง ผู้ป่วยจะได้รับการประเมินสภาพเส้นผมผ่านการให้คำปรึกษาออนไลน์โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสม 2. การดูแลและการผ่าตัดปลูกผม ขั้นตอนทั้งหมดตั้งแต่การเตรียมหนังศีรษะ การสกัดและปลูกหน่วยรากผม จนถึงการดูแลหลังการผ่าตัดล้วนดำเนินการโดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด 3. ที่พักสุดสะดวกสบาย ผู้ป่วยจะได้พักในโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ที่ไม่เพียงให้ความหรูหรา แต่ยังอยู่ใกล้กับคลินิกหรือโรงพยาบาล เพื่อความสะดวกสบายตลอดการพักฟื้น 4. บริการรับส่งสนามบินและการเดินทางในท้องถิ่น เมื่อเครื่องบินลงจอด ผู้เข้ารับการบริการไม่ต้องกังวลกับการเดินทางเลย เพราะแพ็กเกจนี้จัดให้ครบทั้งรถรับส่งสนามบินและบริการพาไปยังคลินิก รวมถึงจุดท่องเที่ยวหากต้องการผ่อนคลาย 5. การดูแลหลังการผ่าตัด หลังจากการผ่าตัดแล้วเสร็จ จะได้รับคำแนะนำอย่างละเอียด รวมถึงชุดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและการติดตามผลเพื่อให้มั่นใจว่ารากผมที่ปลูกใหม่จะเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์

แพ็กเกจแบบครบวงจรจึงน่าดึงดูดใจ เพราะสะดวกสบายทุกขั้นตอน ผู้ป่วยไม่ต้องจัดการอะไรด้วยตัวเอง ทุกอย่างถูกวางแผนไว้อย่างละเอียด ทั้งยังประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย เมื่อรวมบริการต่างๆ ไว้ในแพ็กเกจเดียว ทำให้ค่าใช้จ่ายโปร่งใสและคุ้มค่ามากขึ้น รวมถึงเป็นการมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับ จากการพักผ่อนในโรงแรมหรู เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ผ่อนคลายพร้อมสัมผัสวัฒนธรรมอันงดงามของตุรกี ไม่ว่าจะเป็นอาหารเลิศรสหรือบรรยากาศที่ชวนประทับใจ ทำให้การเดินทางน่าจดจำและเป็นมากกว่าการรักษา

การสนับสนุนจากรัฐบาลตุรกี : ที่แสดงความมุ่งมั่นและให้การผลักดันอย่างแข็งขันในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยรัฐบาลตุรกีได้ลงทุนอย่างจริงจังในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงพยาบาล และการจัดตั้งคลินิกปลูกผมที่ได้มาตรฐาน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาที่นี่ การสนับสนุนของรัฐบาลตุรกีไม่เพียงแต่เป็นการจัดหาทุนสนับสนุนและเงินลงทุนให้กับโรงพยาบาลและคลินิกต่างๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์และการจัดอบรมให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรฐานการรักษาของตุรกีจะเทียบเท่าหรือเหนือกว่ามาตรฐานสากล การจัดตั้งคลินิกปลูกผมที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงและการดูแลอย่างมืออาชีพทำให้ตุรกีเป็นผู้นำในตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของโลก

นอกจากนี้ รัฐบาลตุรกียังได้ออกนโยบายที่สนับสนุนการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับอุตสาหกรรมนี้ เช่น การออกใบรับรองคุณภาพให้กับสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน และการรับรองเทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษา ซึ่งเป็นการรับประกันความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เข้ามารับการรักษา

สิ่งที่ทำให้การสนับสนุนจากรัฐบาลตุรกีโดดเด่นคือ วิสัยทัศน์ในระยะยาว ไม่เพียงแค่ต้องการให้การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของตุรกีเติบโตในปัจจุบัน แต่ยังมุ่งหวังให้เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมองหาในอนาคต ด้วยการสร้างชื่อเสียงและความมั่นใจให้กับการรักษาในประเทศนี้

การสนับสนุนจากรัฐบาลจึงไม่เพียงแค่ช่วยให้การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของตุรกีเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจและการสร้างงานที่มีความยั่งยืนในระยะยาวให้กับเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย

โครงสร้างพื้นฐานการแพทย์และสาธารณสุข: ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์

โจเซฟ วู้ดแมน ซีอีโอของ Patients Beyond Borders ได้ชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านการแพทย์ของตุรกีมีมาตรฐานสูงและมีความคล้ายคลึงกับประเทศอื่นๆ ที่เป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เช่น ฮังการี สาธารณรัฐเช็ก ไทย และเกาหลีใต้ ซึ่งมีโรงพยาบาลและคลินิกที่ทันสมัย รวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นการรักษากระดูกและข้อ จักษุวิทยา หรือมะเร็งวิทยา ผู้ป่วยจากทั่วโลกต่างประหลาดใจในคุณภาพการรักษาที่มีประสิทธิภาพและค่าบริการที่เข้าถึงได้ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ได้ส่งผลให้ระบบสุขภาพและการศึกษาของประเทศได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เติบโตไปในทิศทางที่ดี

ตามข้อมูลจาก USHAŞ บริษัทดูแลสุขภาพของรัฐตุรกีที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ พบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 มีผู้เดินทางมากกว่า 1.1 ล้านคนมายังตุรกีเพื่อรับบริการด้านสุขภาพ 

โจเซฟ วู้ดแมน กล่าวเพิ่มเติมว่า “แม้ว่าเม็กซิโก บราซิล โคลอมเบีย และคอสตาริกาจะเป็นจุดหมายปลายทางที่ให้บริการปลูกผมเช่นกัน แต่ไม่มีที่ไหนเหมือนตุรกี สิ่งที่ทำให้ตุรกียังคงครองตำแหน่งผู้นำในการปลูกผมไม่ใช่เพียงแค่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่มีทักษะในการปลูกผม แต่ยังรวมถึงการตลาดที่เฉียบคมและการสร้างเสน่ห์ให้กับขั้นตอนการรักษาที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก ทักษะในการนำเสนอและการให้บริการที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพทำให้ตุรกีกลายเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำระดับโลกในด้านนี้อย่างแท้จริง”

แหล่งข้อมูล

https://www.salika.co/2024/12/20/turkey-medical-tourism-hair-transplant/