ทำความรู้จัก ‘Deep’ บริษัทสตาร์ทอัพสุดล้ำที่หวังให้มนุษย์สามารถ ‘อยู่อาศัย’ ใต้ทะเล

Share

Loading

ทำความรู้จัก ‘Deep’ บริษัทสตาร์ทอัพสุดล้ำที่หวังให้มนุษย์สามารถ ‘อยู่อาศัย’ ใต้ทะเลลึกได้และเริ่มทดลองจริงในปีนี้!

ว่ากันว่ามนุษย์ออกไปสำรวจอวกาศข้ามดาวกันแล้ว แต่ที่จริงสิ่งใกล้ตัวที่มนุษย์ยังไม่รู้จักเลยคือท้องทะเลของเราเอง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่จริง เพราะทุกวันนี้ มนุษย์รู้จักพื้นทะเลไม่ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และมันก็ยังมี ‘ปริศนา’ อีกมากมาย ดังที่หลายคนตามข่าวด้านนี้ก็จะเห็นว่าส่งกล้องลงไปทุกครั้ง ก็จะมีการพบเจอสัตว์ทะเลสายพันธุ์ประหลาดๆ ในท้องทะเลลึกอยู่เสมอ

เหตุที่การสำรวจทะเลลึกมันเป็นไปได้ยาก ก็เพราะปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีให้มนุษย์ ‘ใช้ชีวิต’ ใต้ท้องทะเลลึกได้ แต่นี่อาจเป็นข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไปในปีนี้ ภายใต้ความพยายามของสตาร์ทอัพอังกฤษนามว่า ‘Deep’

Deep ทำอะไร หลักๆ คือพยายามพัฒนา ‘ที่อยู่อาศัย’ ของมนุษย์ใต้ท้องทะเลระดับความลึก 100-200 เมตร ผ่านเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ โดยปี 2025 นี้เป็นปีแห่งการทดลองที่อยู่อาศัยรุ่น Vanguard ที่นักดำน้ำอาศัยได้ 3 คน ก่อนจะไปทดลองรุ่นใหญ่กว่าอย่าง Sentinel ที่นักดำน้ำอาศัยได้ 6 คนต่อไป โดยการทดลองจะเริ่มที่เหมืองร้างชายแดนอังกฤษกับเวลส์ก่อน โดยเหมืองดังกล่าวมีน้ำขังลึกประมาณ 80 เมตร และเป็นพื้นที่ทดลองที่เหมาะสม

แล้วเทคโนโลยีนีนี้จะช่วยการสำรวจทะเลลึกอย่างไร เคิร์ก แครก (Kirk Krack) นักดำน้ำของ Deep อธิบายว่า ทุกวันนี้ถ้าเราลงไปสำรวจทะเลลึก 150-200 เมตร เราทำงานในน้ำได้แค่ 10 นาที และเราต้องเข้าห้องปรับความดันถึง 3 ชั่วโมงเพื่อความปลอดภัย แต่ถ้าเรามีที่อยู่อาศัยใต้ทะเลเลย เราจะทำงานสำรวจระดับที่ปัจจุบันต้องทำ 7 ปีได้สำเร็จภายใน 30 วัน เพราะเราจะไม่เสียเวลาเข้าห้องปรับความดันนานๆ อีก ถามว่าทำไมความลึกเท่านี้ถึงสำคัญ นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในท้องทะเลประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในความลึกไม่เกิน 200 เมตร นี่แหละ ซึ่งปัจจุบันการสำรวจใกล้ฝั่ง มันทำให้มนุษย์รู้จักสิ่งมีชีวิตเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ในทะเลเท่านั้น และถ้าลงไปสำรวจระดับ 200 เมตร ได้ทั่วถึง เราจะรู้จักสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลอีกมหาศาล ซึ่งความรู้พวกนี้สำคัญแน่นอนในยุคที่เรากำลังสู้กับโลกร้อน เพราะเป็นที่รู้กันว่า ‘ทะเล’ เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์สร้างประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ แต่เรายังเข้าใจระบบนิเวศของมันน้อยมาก

โครงการ Vanguard ที่จะทดลองนี้จะเริ่มในความลึก 100 เมตรก่อน ซึ่งตัวมันก็มีระบบความปลอดภัยมากมาย ตั้งแต่โครงสร้างที่ผสมผสานระหว่างการพิมพ์ 3 มิติ กับการเชื่อมโลหะแบบดั้งเดิมเข้าด้วยกัน รวมถึงระบบพลังงานที่ผสมผสานระหว่างแบตเตอรี่กับแผ่นโซลาร์เซลล์ที่ลอยเหนือผิวน้ำ เป็นการตอบโจทย์การสำรวจที่ใกล้กับชายฝั่งจนไม่สามารถต่อ ‘สายไฟ’ ลงไปในที่พักอาศัยได้

ทั้งหมดนี้คือการทดลองเพื่อให้ระยะยาวมนุษย์สามารถอาศัยอยู่ในทะเลลึกได้ หรืออย่างน้อยๆ ก็สามารถตั้งสถานีสำรวจใต้ท้องทะเลลึกแบบเปลี่ยนสมาชิก (พร้อมลำเลียงเสบียงลงไป) ทุกเดือน คล้ายๆ กับที่ทำในสถานีอวกาศ โดยเป้าที่ Deep ตั้งเอาไว้ก็คือ ในปี 2030 เรื่องเหล่านี้ก็ควรจะเกิดขึ้นได้

ทั้งนี้ โครงการพวกนี้ก็น่าจับตา ไม่ใช่ในเชิงของการวิจัยเพื่อเข้าใจระบบนิเวศเท่านั้น แต่ถ้ามันทำสำเร็จ ไอเดียแบบ ‘การทำเหมืองทะเลลึก’ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่บริษัทและรัฐกลับมาจริงจัง เพราะชัดเจนว่าทุกวันนี้บนพื้นผิวโลกนั้นทำเหมืองกันจนปรุแล้ว และเขาก็อยากลงไปสำรวจใต้ท้องทะเลเพื่อทำเหมืองเอาแร่หายากเพิ่ม และโดยทั่วไปเขาก็มั่นใจว่ามีแน่ๆ แค่ไม่รู้อยู่ตรงไหน และการกรุยทางของการสำรวจทางวิทยาศาสตร์นี่เองที่จะทำให้เรารู้

ส่วนหลายคนที่เคยดูหนังแนว ‘สยองขวัญใต้ทะเลลึก’ ก็น่าจะรู้สึกคุ้นๆ เพราะทุกเรื่องเหตุมันก็จะเกิดในศูนย์วิจัยใต้ทะเลลึกที่ทำเหมืองควบคู่กันไป และพล็อตเดิมๆ คลาสสิกก็คือ การทำเหมืองมันก็จะไปกระตุ้นให้ตัวอะไรสักอย่างใต้ท้องทะเลลึก ‘ตื่นขึ้น’ และเกิดโศกนาฏกรรมตามมา

เอาเป็นว่า ตอนนี้เรายังไม่ต้องจินตนาการไปถึงขั้นนั้น และลุ้นให้โครงการทดลองลงไปใช้ชีวิตที่ความลึก 80 เมตร ที่จะทดลองในปี 2025 นี้ เป็นไปได้อย่างลุล่วงดีกว่า

แหล่งข้อมูล

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1170292227992445&set=a.811136580574680