‘ChatGPT’ ปล่อย ‘คาร์บอน’ ปีละ 3 ล้านกก. สะท้อนเอไอมาพร้อมต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม

Share

Loading

  • ChatGPT ก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 260,930 กิโลกรัมต่อเดือน
  • เทคโนโลยีใหม่ทำให้ความต้องการใช้พลังงานเป็นสองเท่าภายในปีหน้า และมากกว่า 33% ของความต้องการทั้งหมดจะมาจากศูนย์ข้อมูล
  • ฝ่ายบริหารของรัฐบาลไบเดนเรียกร้องให้นักพัฒนาเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด ตลอดจนทำให้เอไอและศูนย์ข้อมูลเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ทุกวันนี้คนหันมาใช้ “เอไอ” ในการทำงานเพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่าสร้างความสะดวกสบายให้แก่พวกเรา แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ เอไอก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด “ภาวะโลกร้อน” ด้วยเช่นกัน

ตามการศึกษาวิจัยของ KnownHost บริษัทผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง พบว่าการใช้ ChatGPT แชทบอทยอดนิยมที่มีผู้ใช้มากกว่า 164 ล้านคนต่อเดือน ก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 260,930 กิโลกรัมต่อเดือน

แม้ว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 1.59 กรัมต่อการดูหน้าเว็บหนึ่งครั้ง แต่ด้วยความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ปริมาณการปล่อยคาร์บอนโดยรวมเท่ากับ การปล่อยคาร์บอนจากเที่ยวบินจากมหานครนิวยอร์กไปยังกรุงลอนดอน 260 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าการใช้งานทางดิจิทัลได้ทิ้งต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ถึงแพลตฟอร์มเอไออื่น ๆ จะมีการปล่อยคาร์บอนรายเดือนน้อยกว่า แต่ปริมาณการปล่อยคาร์บอนต่อการเข้าเว็บไซต์แต่ละครั้งกลับสูงกว่า เช่น Rytr ปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมา 10.1 กรัมต่อการเข้าชม ในขณะที่ Spellbook ปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมา 6.5 กรัมต่อการเข้าชม ดังนั้นหากแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้รับความนิยมมากขึ้น ก็จะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลที่เป็นแหล่งพลังของเอไอมีการใช้พลังงานมากขึ้น โดยข้อมูลจาก Berkeley Lab ศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ได้รับทุนจากรัฐบาลกลาง การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลของสหรัฐในปี 2023 มากกว่าปี 2017 สองเท่า

รายงานระบุว่า ปัจจุบันการใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลในสหรัฐกำลังเติบโตในอัตราเร่ง เนื่องจากเครื่องจะต้องทำงานตลอดเวลาและได้รับความเย็นต่อเนื่อง ขณะที่สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศระบุว่า เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น เอไอขั้นสูงและสกุลเงินดิจิทัล อาจทำให้ความต้องการใช้พลังงานเป็นสองเท่าภายในปีหน้า และมากกว่า 33% ของความต้องการทั้งหมดจะมาจากศูนย์ข้อมูล

แนวโน้มนี้เผยให้เห็นว่า การใช้บริการดิจิทัลที่แพร่หลายกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ความต้องการพลังงานทั่วโลกเพิ่มขึ้น โดยแดเนียล เพียร์สัน ซีอีโอของ KnownHost ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการรับผิดชอบร่วมกัน

“การสร้างสมดุลระหว่างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนานวัตกรรม จะต้องกลายเป็นประเด็นหลัก สำหรับบริษัทเทคโนโลยีและผู้ใช้เครื่องมือต่าง ๆ” เพียร์สันกล่าว

ฝ่ายบริหารของรัฐบาลไบเดน เรียกร้องให้นักพัฒนาเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด ตลอดจนทำให้เอไอและศูนย์ข้อมูลเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเพิ่มตัวเลือกที่ลดการใช้พลังงานได้ เนื่องจากในสหรัฐมีศูนย์ข้อมูลตั้งอยู่มากถึงหนึ่งในสามของโลก

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับข่าวโครงการ Stargate AI ซึ่งเป็นโครงการศูนย์ข้อมูลมูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ที่นำโดย OpenAI ร่วมกับ Oracle และ SoftBank Ffpประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าเป็น “การประกาศความเชื่อมั่นในศักยภาพของสหรัฐอย่างชัดเจน” แต่โครงการนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างอีลอน มัสก์ ที่ปรึกษาของทรัมป์ และแซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI เกี่ยวกับความโปร่งใสและความเป็นไปได้ของการลงทุน

วิธีทำให้เอไอปล่อยคาร์บอนลดลง

เมื่อธุรกิจต่าง ๆ นำเอไอมาใช้มากขึ้น ความต้องการพลังงานจะพุ่งสูงขึ้น อาจนำไปสู่ราคาไฟฟ้าที่สูงขึ้นและเผชิญข้อจำกัดด้านทรัพยากรสำหรับภาคส่วนอื่น ๆ แนวโน้มนี้ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เนื่องจากชุมชนที่มีรายได้น้อยอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่สมส่วน ทำให้ต้องพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และตระหนักรู้เกี่ยวกับต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมของเอไอที่เพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคเรียกร้องโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งเสริมให้เกิดตลาดสำหรับเทคโนโลยีที่ยั่งยืน

เครื่องมือเอไอบางตัวสามารถลดภาระด้านพลังงานได้ด้วยการเขียนโค้ดให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และตัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป ส่วนศูนย์ข้อมูลควรต้องมีระบบระบายความร้อนที่ดีกว่านี้ ซึ่งนักวิจัยกำลังหาวิธีอยู่ เช่น การระบายความร้อนด้วยของเหลวและการออกแบบการไหลเวียนของอากาศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดการใช้พลังงานโดยรวม

นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลควรต้องหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะทำให้บริษัทเทคโนโลยีที่เน้นลดการปล่อยมลพิษในฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ได้เปรียบในการแข่งขัน เมื่อสาธารณชนหันมาให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสภาพอากาศมากขึ้น

มนุษย์จะต้องใช้เอไอไปอีกนาน และต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีกมาก ดังนั้นการรักษาสมดุลระหว่างความก้าวหน้าและความยั่งยืนจะต้องอาศัยความพยายามร่วมกันจากนักพัฒนา ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งการปรับปรุงประสิทธิภาพไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อโลกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้แน่ใจว่าบริการดิจิทัลเหล่านี้ยังคงเชื่อถือได้อีกด้วย

แหล่งข้อมูล

https://www.bangkokbiznews.com/environment/1164021