ศึกพลังงานสีเขียวของบิ๊ก AI : DeepSeek แซงหน้า Copilot, Gemini และ ChatGPT

Share

Loading

  • การมาของ DeepSeek ได้สร้างความตกตะลึงให้กับ Silicon Valley และเขย่า Wall Street
  • DeepSeek ได้ทำลายความเชื่อว่า การฝึก AI ใช้พลังงานมหาศาล
  • ความต้องการพลังงานของ AI ทำให้บริษัทต่างๆ เช่น OpenAI, Alphabet Inc. และ Microsoft Corp. มองหาแหล่งพลังงานใหม่

ปัจจุบันที่ปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างมาก ความยั่งยืนด้านพลังงานของเครื่องมือเหล่านี้จึงได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะ AI โดยเฉพาะโมเดลการเรียนรู้เชิงลึก ใช้พลังงานอย่างมหาศาลเนื่องจากต้องทำการคำนวณที่ซับซ้อน ทั้งในการฝึก AI และการนำไปปฏิบัติ

การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือแม้แต่หลายเดือน และต้องใช้ GPU หรือ TPU ที่มีประสิทธิภาพสูงหลายพันตัวที่ทำงานพร้อมกัน กระบวนการนี้ใช้พลังงานเทียบเท่ากับการเปิดไฟฟ้าของบ้านหลายพันหลัง

ความต้องการไฟฟ้าในการฝึกและใช้โมเดล AI กำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการปล่อยคาร์บอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน

แต่การมาของ DeepSeek ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ของจีน ได้สร้างความตกตะลึงให้กับ Silicon Valley และเขย่า Wall Street นอกจากนั้น DeepSeek ขึ้นอันดับ 1 ใน App Store ของ Apple หนึ่งสัปดาห์หลังจากเปิดตัวเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 ที่สำคัญ DeepSeek ได้ทำลายความเชื่อว่า การฝึกโมเดลประสิทธิภาพสูงใช้ไฟฟ้ามหาศาล

ความต้องการพลังงานของ AI ทำให้บริษัทต่างๆ เช่น OpenAI, Alphabet Inc. และ Microsoft Corp. มองหาแหล่งพลังงานใหม่ เช่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นอกจากนี้ ยังทำให้เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ทะเยอทะยานของบริษัทมีความซับซ้อนมากขึ้น

เปรียบเทียบการใช้พลังงานของโมเดล AI ระหว่าง DeepSeek, Copilot จาก Microsoft, Gemini จาก Alphabet และ ChatGPT จาก OpenAI ว่ามีความแตกต่างกันอย่างมาก

DeepSeek โมเดล AI ใช้พลังงานน้อย

DeepSeek เป็นผู้ชนะในสนามนี้ เพราะใช้โมเดลที่เบากว่ามาก ส่งผลให้ลดการปล่อยมลพิษ โดยโมเดล R1 ของ DeepSeek ได้ถูกฝึกโดยใช้ชิป Nvidia เพียง 2,000 ชิป ปัญญาประดิษฐ์ของ DeepSeek มุ่งเน้นการลดทรัพยากรในการคำนวณ AI ซึ่งหมายถึงการลดการใช้พลังงานลงอย่างมากทั้งในกระบวนการฝึกและการให้บริการ

การมาของ DeepSeek ได้ส่งผลให้นักลงทุนถอนตัวออกจากตำแหน่งในบริษัทพลังงานของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา และช่วยฉุดตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการเทขายหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมากอยู่แล้วให้ตกลงมา

เทรวิส มิลเลอร์ นักยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมด้านพลังงานและสาธารณูปโภคของบริษัทบริการทางการเงิน Morningstar กล่าวว่า R1 แสดงให้เห็นถึงภัยคุกคามที่การเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลก่อให้เกิดกับผู้ผลิตไฟฟ้า

ความพยายามของ Copilot

Copilot โดย Microsoft มีวิธีใช้พลังงานที่สมดุลแต่ยังคงมีการใช้พลังงานสูง แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการด้านความยั่งยืนของไมโครซอฟท์ แต่ Copilot ยังคงเป็นโมเดลบริโภคพลังงานอิงความจุของ Azure

การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพภายในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้ Copilot เป็น AI ที่พยายามทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะไม่ได้เด่นเป็นพิเศษในการอนุรักษ์พลังงานเมื่อเทียบกับ DeepSeek

Microsoft ได้ทำการเคลื่อนไหวในการใช้พลังงานนิวเคลียร์แล้ว พวกเขาวางแผนที่จะสนับสนุนการฟื้นฟูโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Three Mile Island ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ที่เคยปิดตัวลง จากเหตุการณ์รั่วไหลในปี 1979 เป้าหมายคือเพื่อให้พลังงานเพียงพอที่จะขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลของพวกเขา

แผนนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Microsoft ในการค้นหาวิธีแก้ไขพลังงานสีเขียวเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยี AI ทั้งนี้บริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ เช่น OpenAI และ Amazon ก็อยู่ในขบวนการสำรวจทางเลือกที่คล้ายกับนี้เช่นกัน

ChatGPT ยักษ์ใหญ่ที่ใช้พลังงานสูง

ChatGPT โดย OpenA Iเป็นผู้ใช้พลังงานมาก การฝึก ChatGPT-4 ต้องใช้พลังงานประมาณ 1,750 MWh ซึ่งเท่ากับการให้พลังงานแก่บ้าน 160 หลังในอเมริกาในช่วงหนึ่งปีง การดำเนินการแต่ละครั้งที่ ChatGPT-4 ใช้จะต้องใช้พลังงานประมาณ 0.0005 kWh แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในการประหยัดพลังงาน แต่การใช้พลังงานโดยรวมของโมเดลนี้ยังคงสูงเนื่องจากความต้องการในการคำนวณที่มาก

Gemini ปล่อยก๊าซคาร์บอนเพิ่ม 13%

Gemini โดย Alphabet Inc. ยังต้องเผชิญกับการใช้พลังงานที่สูงขึ้นอย่างมากในปี 2023 โดย Google ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Alphabet Inc. มีการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซคาร์บอนถึง 13% เนื่องจากการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นของศูนย์ข้อมูลที่เกิดจากการทำงานของ AI

อย่างไรก็ตาม Google ได้ลงทุนอย่างมากในพลังงานหมุนเวียน โดย 67% ของการใช้พลังงานในปี 2023 มาจากแหล่งพลังงานที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ การเปิดตัวชิพ AI ที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูงขึ้น “Trillium” แสดงถึงความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพพลังงานและการพัฒนา AI

หลายบริษัทหลงทาง

หลายบริษัทกำลังหลงทางในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศ การปล่อยมลพิษของ Microsoft เพิ่มขึ้น 30% เมื่อปี 2024 ที่แล้วเมื่อเทียบกับปี 2020 ในขณะที่การปล่อยมลพิษของ Google เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ส่วนใหญ่เกิดจาก AI

การคาดการณ์การใช้พลังงานในทศวรรษหน้านั้นรุนแรงยิ่งขึ้น และส่วนใหญ่เป็นการใช้พลังงานขับเคลื่อนโดย AI ในสวีเดน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทศวรรษนี้ ในขณะที่ในสหราชอาณาจักร คาดการณ์ว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้น 500% ในช่วงเวลาเดียวกัน

การแข่งขันและนวัตกรรมที่มากขึ้นใน AI อาจกระตุ้นให้มีความต้องการพลังงานมากขึ้น ซึ่งเรียกว่าปรากฏการณ์ Jevons Paradox

รูปแบบการใช้งานพลังงานที่แตกต่างกันของโมเดล AI เหล่านี้ เน้นให้นึกถึงความจำเป็นในการมุ่งความสนใจไปที่ประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง DeepSeek นำหน้าด้วยความยั่งยืนด้านพลังงาน Copilot แสดงถึงศักยภาพในการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ ChatGPT เน้นให้เห็นถึงความท้าทายต่อเนื่องและความรับผิดชอบในการทำให้ AI มีความเป็นมิตรมากขึ้นและยั่งยืนต่ออนาคต

แหล่งข้อมูล

https://www.bangkokbiznews.com/environment/1164335