การลงทุนใน Data Center เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัล แต่ยิ่งมีขนาดใหญ่และทรงประสิทธิภาพเพียงใด ย่อมหมายถึงการใช้พลังงานในระดับมหาศาลและการรักษาเสถียรภาพในระดับสูง Data Center ใช้พลังงานมากแค่ไหน ไปดูกัน!
การลงทุนใน Data Center กำลังถูกจับตามอง เพราะความสำคัญในยุคแห่งการแข่งขันอันดุเดือดในสมรภูมิดิจิทัล Data Center ที่ทรงประสิทธิภาพหมายถึง ความรวดเร็ว การวิเคราะห์ข้อมูลที่แม่นยำ ความปลอดภัยของข้อมูลไปจนถึง การช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานต่อเนื่องได้แม้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ไฟดับหรือภัยพิบัติ การลงทุนใน Data Center จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ยิ่งมีขนาดใหญ่และทรงประสิทธิภาพเพียงใด ย่อมหมายถึงการใช้พลังงานในระดับมหาศาลและการรักษาเสถียรภาพในระดับสูง โครงสร้างพื้นที่ฐานที่ดีจึงมีความจำเป็นและเป็นข้อได้เปรียบ ชวนไปหาคำตอบเรื่องการใช้พลังงานของ Data Center และผลกระทบกัน
ศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center) ใช้พลังงานมหาศาลเนื่องจากการประมวลผลข้อมูลอย่างเข้มข้น
Data Center มีเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เครือข่ายจำนวนมากที่ต้องประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องแบบ 24/7 ซึ่งเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ใช้พลังงานสูงโดยเฉพาะเมื่อรองรับการใช้งานจากผู้คนทั่วโลก เช่น การสตรีมวิดีโอ การประมวลผล AI หรือการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)
ระบบระบายความร้อน
การทำงานของเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เครือข่ายก่อให้เกิดความร้อนอย่างมหาศาล Data Center จึงต้องใช้ระบบระบายความร้อน เช่น เครื่องปรับอากาศ ระบบน้ำหล่อเย็น หรือเทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูง เพื่อรักษาอุณหภูมิของอุปกรณ์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
แหล่งจ่ายพลังงานสำรอง
Data Center ต้องมีแหล่งจ่ายพลังงานสำรอง เช่น แบตเตอรี่สำรอง (UPS) หรือเครื่องปั่นไฟ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสามารถทำงานได้ต่อเนื่องแม้ในกรณีไฟฟ้าดับ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้เพิ่มความต้องการพลังงาน
อุปกรณ์เครือข่ายและความปลอดภัย
ระบบเครือข่าย การเก็บข้อมูลสำรอง และระบบความปลอดภัยไซเบอร์ต้องทำงานตลอดเวลา เช่น ไฟร์วอลล์ อุปกรณ์เครือข่าย และระบบสำรองข้อมูล ทั้งหมดล้วนต้องใช้พลังงาน
ขนาดและการกระจายตัวของ Data Center
จาก Data Center ที่มีขนาดใหญ่และรองรับการใช้งานในระดับโลก เช่นของ Google, Amazon หรือ Microsoft ใช้พลังงานในปริมาณมหาศาลเพราะต้องรองรับข้อมูลจำนวนมากจากผู้ใช้ทั่วโลก
Data Center จึงเป็นทั้งผู้ใช้พลังงานขนาดใหญ่และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานที่ยั่งยืนในอนาคต
ส่วนปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับ Data Center ในเรื่องพลังงาน มาจาก
การใช้พลังงานที่สูงเกินไป (Energy Consumption Overload) – Data Center ขนาดใหญ่ใช้พลังงานมหาศาลในการประมวลผลและระบายความร้อน อาจทำให้เกิดแรงกดดันต่อระบบไฟฟ้าของพื้นที่ หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการขาดแคลนพลังงานในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
เกิดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสูง (High Energy Costs) เพราะค่าไฟฟ้าเป็นหนึ่งในต้นทุนหลักของการดำเนินงาน Data Center หากค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น อาจกระทบต่อความคุ้มค่าของการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พลังงานมีราคาสูง
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact) หาก Data Center พึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล เช่น ถ่านหินและน้ำมัน จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ความเสี่ยงด้านพลังงานสำรอง (Backup Power Challenges) การใช้เครื่องปั่นไฟฟ้าสำรอง (Generator) หรือแบตเตอรี่ในกรณีฉุกเฉิน อาจไม่สามารถรองรับการทำงานได้ยาวนานในกรณีไฟฟ้าดับเป็นเวลานาน
การจัดการความร้อน (Thermal Management Issues) ระบบระบายความร้อนใน Data Center ที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจทำให้อุณหภูมิของเซิร์ฟเวอร์เพิ่มสูงจนเกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ และยังเพิ่มการใช้พลังงานอีกด้วย
ความไม่เสถียรของแหล่งพลังงาน (Energy Source Instability) หาก Data Center ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีไฟฟ้าไม่เสถียรหรือเกิดไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน
ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น (Growing Energy Demand) การเติบโตของข้อมูล (Big Data), IoT และการประมวลผล AI ทำให้ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ทรัพยากรพลังงานไม่เพียงพอในอนาคต
ประเทศที่มี Data Center จำนวนมาก
มักเป็นประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและพลังงานที่แข็งแกร่ง รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตและบริการดิจิทัลในระดับโลก โดยประเทศที่มี Data Center จำนวนมาก ได้แก่:
1.สหรัฐอเมริกา – เป็นผู้นำด้านจำนวน Data Center ในโลก โดยมีศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ เช่นของ Amazon Web Services (AWS), Google Cloud, Microsoft Azure และ Facebook จากความพร้อมของพลังงานราคาถูก โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่ง และความต้องการสูงในบริการดิจิทัล
2.จีน – มี Data Center จำนวนมากเพื่อรองรับบริการออนไลน์ขนาดใหญ่ เช่น Alibaba Cloud, Tencent Cloud และ Baidu เพราะมีประชากรจำนวนมากที่ใช้บริการออนไลน์ต่างๆ บวกกับการเติบโตของเทคโนโลยี เช่น AI และ IoT
3.อินเดีย – เป็นตลาดที่เติบโตเร็วด้าน Data Center เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในด้านบริการคลาวด์และดิจิทัล การขยายตัวของการใช้งานอินเทอร์เน็ตในประชากรจำนวนมาก และการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
4.เยอรมนี – ศูนย์กลางของ Data Center ในยุโรป โดยเฉพาะในแฟรงก์เฟิร์ต ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูล (GDPR) ที่ดึงดูดบริษัทให้ตั้ง Data Center ในยุโรป บวกกับโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่งและมั่นคง
5.สิงคโปร์ – เป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมี Data Center ขนาดใหญ่เพื่อรองรับภูมิภาค มีความพร้อมในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
6.เนเธอร์แลนด์ – อัมสเตอร์ดัมเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอินเทอร์เน็ตและ Data Center ที่สำคัญของยุโรป มีการเข้าถึงพลังงานหมุนเวียน และความเป็นจุดศูนย์กลางด้านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
7.ญี่ปุ่น – มี Data Center จำนวนมากรองรับการใช้งานในประเทศและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากความต้องการบริการออนไลน์ในระดับสูงและมีโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง
8.สหราชอาณาจักร – มี Data Center ขนาดใหญ่โดยเฉพาะในลอนดอน ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงิน จากการลงทุนในเทคโนโลยีและบริการคลาวด์
แนวโน้มในอนาคต ประเทศใน ตะวันออกกลาง (เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เช่น ไทยและอินโดนีเซีย) เริ่มกลายเป็นเป้าหมายสำหรับการสร้าง Data Center ใหม่ เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการลงทุนจากต่างประเทศ
แหล่งข้อมูล