แล ‘ญี่ปุ่น’ มองเมืองไทย เมื่อ ‘ญี่ปุ่น’ สามารถสร้างพลาสติกที่สามารถละลายในน้ำทะเลกลายเป็นปุ๋ยได้ หวังลดปัญหาขยะล้นโลก
‘ขยะพลาสติก’ ล้นโลก ปัญหาใหญ่ที่ถูกมองข้าม และยังแก้ไม่ตก
ในปัจจุบันมีการผลิตพลาสติกทั่วโลกประมาณ 430 ล้านตันต่อปี แต่ในจำนวนนี้ มีไม่ถึง 10% ที่ถูกนำไปรีไซเคิล นอกนั้นจะต้องนำไปถูกเผาทำลาย ซึ่งกลายเป็นตัวการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ ขยะพลาสติกยังสามารถแตกตัวเป็นไมโครพลาสติกขณะที่ขยะพลาสติกส่วนใหญ่ถูกเผาทำลาย ซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ ขยะพลาสติกยังแตกตัวเป็น ‘ไมโครพลาสติก’ ชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กไม่เกิน 5 มิลลิเมตร ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตและส่งผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศด้วย เช่น หากปนเปื้อนกับแหล่งน้ำ จะทำให้สัตว์น้ำกินเข้าไปไม่รู้ตัว และสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร สุดท้ายเมื่อคนรับประทานอาหารจากแหล่งน้ำเหล่านั้น ก็จะได้รับสารพิษจากไมโครพลาสติกเข้าร่างกายโดยไม่รู้ตัว
ในปี 2564 กรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่งของไทย ออกมาเปิยเผยว่า สาเหตุเกยตื้นสำหรับเต่าทะเล พะยูน และกลุ่มโลมาและวาฬ ซึ่งเป็นสัตว์หายากในทะเลนั้น เกิดจากติดเครื่องมือประมงและขยะทะเลเป็นสำคัญ โดยเต่าเกยตื้นร้อยละ 57 พะยูนเกยตื้อนร้อยละ 10 และกลุ่มโลมาและวาฬเกยตื้นร้อยละ 17 และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2555 – 2564) พบสัตว์ทะเลหายากเกยตื้นรวม 5,526 ตัว คิดเป็นค่าเฉลี่ยปีละ 553±237 ตัว และในปี 2564 (ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2564) พบการเกยตื้น 818 ครั้ง ซึ่งประกอบด้วย เต่าทะเล 495 ตัว โลมาและวาฬ 302 ตัว และพะยูน 21 ตัว
สำหรับประเทศไทย กรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง เคยเปิดเผยตัวเลขในปี 2560 พบว่าปริมาณขยะมูลฝอยในจังหวัดชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด มากถึง 11.47 ล้านตัน ในจำนวนดังกล่าวจะมีขยะพลาสติกอยู่ประมาณ 340,000 ตัน โดยร้อยละ 10-15 มีโอกาสปนเปื้อนลงสู่ทะเลได้ ซึ่งปริมาณขยะทะเลที่พบมากในประเทศไทย 10 อันดับ ได้แก่
- ถุงพลาสติกอื่นๆ
- ขวดเครื่องดื่ม (พลาสติก)
- ขวดเครื่องดื่ม (แก้ว)
- ถ้วย/จาน (โฟม)
- หลอด/ที่คนเครื่องดื่ม
- เชือก (1 เมตร = 1 ชิ้น)
- กระป๋องเครื่องดื่ม
- ถุงก๊อปแก๊ป
- กล่องอาหาร
- (โฟม) ห่อ/ถุงอาหาร
สำหรับแหล่งที่มาของขยะทะเล แยกเป็น
- กิจกรรมบนบกและชายฝั่ง (ชุมชน แหล่งทิ้งขยะบนฝั่ง บริเวณท่าเรือ การท่องเที่ยวชายหาด) ร้อยละ 80
- กิจกรรมในทะเล (การขนส่งทางทะเล การประมง การท่องเที่ยวทางทะเล) ร้อยละ 20
ทำให้ในปี 2564 ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 10 ของประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลมากที่สุดในโลก ท่ามกลางประเทศในแถบอาเซียนที่เป็นภูมิภาคที่ปล่อยขยะพลาสติกมากที่สุดในโลก!
พลาสติกชนิดใหม่ ‘ญี่ปุ่น’ คิดค้น ‘พลาสติกซูปราโมเลกุล’
จากปัญหาขยะพลาสติกดังกล่าว เมื่อไม่นานมานี้ทีมนักวิจัยญี่ปุ่น นำโดยศาสตราจารย์ ทาคุโซะ ไอดะ (Takuzo Aida) ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยที่ RIKEN และศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ‘พลาสติกที่สามารถละลายในน้ำทะเล’
ผลการวิจัยของพวกเขาถูกตีพิมพ์ในวารสาร Science เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2024 ระบุว่า พลาสติกชนิดใหม่นี้มีความแข็งแรงและสามารถขึ้นรูปได้เหมือนพลาสติกทั่วไป ในขณะเดียวกันก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยทีมวิจัยเรียกวัสดุชนิดนี้ว่า ‘พลาสติกซูปราโมเลกุล’
‘พลาสติกซูปราโมเลกุล’ เป็นพลาสติกชนิดใหม่ที่ที่เกิดจากการรวมของ ‘มอนอเมอร์’ สองชนิด ได้แก่ โซเดียมเฮกซาเมทาฟอสเฟต (ใช้ในสารเติมแต่งอาหารและปุ๋ย) และ กัวนิดิเนียมซัลเฟต (สามารถสังเคราะห์ได้ง่ายจากวัตถุดิบธรรมชาติ) มีคุณสมบัติทนไฟและทนความร้อน แต่เมื่อนำไปสัมผัสกับน้ำเกลือ โครงสร้างทางเคมีจะเปลี่ยนแปลงและย่อยสลายกลายเป็น ‘มอนอเมอร์’ ภายในครึ่งวัน และมอนอเมอร์เหล่านี้จะสามารถย่อยสลายได้ด้วยแบคทีเรียกลายเป็นไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ที่นำไปใช้เป็นปุ่ยได้ต่อไป
ทีมวิจัยยังมีการทดลองเพิ่มเติม โดยเปลี่ยน กัวนิดิเนียมซัลเฟต เพื่อสร้างพลาสติกซูปราโมเลกุลที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่น ทนความร้อน แข็งแรง หรือยืดหยุ่นได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังแทนที่ โซเดียมเฮกซาเมทาฟอสเฟต ด้วย โซเดียมคอนดรอยตินซัลเฟต ซึ่งเป็นพอลิแซ็กคาไรด์ที่ได้จากธรรมชาติ เพื่อผลิตพลาสติกที่เหมาะกับการพิมพ์ 3 มิติ รวมถึงการใช้งานทางการแพทย์หรือด้านสุขภาพได้
แม้ว่าโลกจะมีงานวิจัยหลายชิ้นที่พยายามทำพลาสติกที่สามารถย่อยสลายในทะเลและน้ำได้ เช่น พลาสติกที่ทำจากแป้งหรือพอลิเมอร์จากพืช อย่าง PLA (Polylactic Acid) แต่ก็มีข้อจำกัดที่สำคัญ คือ พลาสติกย่อยสลายได้ PLA มักจะไหลไปถึงมหาสมุทร แต่กลับไม่สามารถย่อยสลายในน้ำได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีการพัฒนาพลาสติกที่ย่อยในน้ำ แต่ที่ผ่านมาโลกก็ยังไม่ก้าวหน้าพอที่จะเจอพลาสติกที่สามารถย่อยสลายในน้ำและนำเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ จนกระทั่งงานวิจัยของประเทศญี่ปุ่นชิ้นนี้กำเนิดขึ้น ถือเป็นงานวิจัยที่ก้าวหน้าที่สุด เพราะสามารถทำให้พลาสติกย่อยสลายภายในน้ำได้ภายในเวลาเพียงครึ่งวัน หรือ 12 ชั่วโมง
นอกจากนี้ พลาสติกชนิดดังกล่าวยังไม่เป็นพิษและไม่ติดไฟ ซึ่งหมายความว่าไม่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ที่อุณหภูมิสูงกว่า 120°C ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเพื่อการผลิตในระดับอุตสาหกรรมจำนวนมากต่อไป
แหล่งข้อมูล