เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 62 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในสัญญาและบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อสนับสนุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. เงินลงทุน 224,544 ล้านบาท ระยะเวลา 50 ปี
โดยมีนายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.), นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และตัวแทนบริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด ร่วมลงนาม
นายศุภชัยกล่าวว่า นับเป็นเกียรติที่ได้ร่วมทำ PPP โครงการกับภาครัฐ ซึ่ง กลุ่มซี.พี.ใช้เวลาเตรียมความพร้อมก่อนเข้าประมูลโครงการนี้ไม่ต่ำกว่า 2 ปี และเมื่อได้รับการคัดเลือกแล้วก็ต้องใช้เวลาเจรจาต่อรองกับรัฐอีก 11 เดือน ทุกๆ อย่างและรายละเอียดต่างๆ ถือว่าเราร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่
สำหรับการเริ่มงานแอร์พอร์ตลิ้งก์จะเป็นช่วงที่เริ่มได้เร็วที่สุด เพราะมีเพียงการปรับปรุงบางส่วนเท่านั้น ส่วนที่ยากที่สุดคือช่วงบางซื่อ – ดอนเมือง – พญาไท และส่วนที่ยาวที่สุด คือช่วงสุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา ซึ่งมีความท้าทายแตกต่าง และต้องอาศัยความร่วมมือจาก ร.ฟ.ท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องร่วมมือกัน ยืนยันจะทำเต็มที่ และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างให้ได้ภายใน 1 ปี ใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปีให้เสร็จ
“พาร์ทเนอร์ของเรา ทั้งอิตาเลียนไทย และ ช.การช่าง มีความสามารถด้านการก่อสร้างงานโยธาอยู่แล้ว ส่วน China Railway Construction Corporation Limited (CRCC) มีความเชี่ยวชาญด้านระบบรางและการบริหารของรถไฟความเร็วสูง รวมถึงการจัดหาขบวนรถด้วย ด้าน FS (บริษัททางรถไฟแห่งชาติอิตาลี) เป็นผู้ที่มาร่วมในด้านการบริหารเดินรถ พาร์ทเนอร์แต่ละบริษัทมีความเข้มแข็งในด้านของตัวเอง แต่ยังไม่สรุปอะไร ยังเปิดเผยไม่ได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนภายใน”
ขณะที่แหล่งเงินกู้มีทั้งในและต่างประเทศ สำหรับต่างประเทศ มีธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) กับ China Development Bank (CDB) ซึ่งมาช่วยเป็นที่ปรึกษาและทำให้เราเข้าใจการลงนามในโครงการนี้มากขึ้น
“ภาคเอกชนกลัวที่สุด คือความเสี่ยงร่วมลงทุนใช้เงินกว่าแสนล้าน ถ้าทำแล้วขาดทุนจะไม่ใช่แค่แสนล้าน ทุกปีที่ขาดทุนต้องระดมทุนเข้าไป เรื่องนี้เราศึกษาอย่างละเอียดก็เชื่อมั่นว่าจะทำให้สำเร็จได้ โครงการนี้เป็น PPP โครงการแรกที่เป็นการลงทุนขนาดใหญ่และจากความยืดหยุ่นต่างๆ จะเป็นโครงการนำร่องไปยังโครงการอื่นๆ”
ทั้งนี้โครงการนี้ได้ร่วมกับพันธมิตรที่เป็นกิจการร่วมค้า ได้แก่ China Railway Construction Corporation Limited จากสาธารณรัฐประชาชนจีน บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ บมจ.ช.การช่าง
จัดตั้ง “บริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด” หรือ “Eastern High-Speed Rail Linking Three Airports Co.,Ltd.” เป็นตัวแทนลงนามในสัญญาร่วมลงทุน Public – Private – Partnership หรือ PPP ในครั้งนี้
โดยภายหลังการลงนามจะเร่งเข้าไปบริหารจัดการบริษัทรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินฯ เพื่อจะได้ดำเนินการลงพื้นที่สำรวจและออกแบบ เจรจากับผู้รับเหมาก่อสร้าง และ Suppliers ต่างๆ รวมถึงเร่งจัดทำแผนก่อสร้างและเดินหน้าทันที
“นับเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศไทยที่ภาคเอกชนได้ร่วมลงนามในสัญญาร่วมลงทุน PPP กับภาครัฐผลักดันให้เกิดโครงการก่อสร้างเมกะโปรเจ็กต์ระดับนานาชาตินี้ขึ้นมาได้สำเร็จ” นายศุภชัยกล่าว
นายศุภชัยกล่าวว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2566 ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะทำให้เกิดการพัฒนาเมืองโดยรอบสถานี นำความเจริญสู่ชุมชน เกิดการกระจายรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีที่ค้าขาย มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจประมาณ 650,000 ล้านบาท ถือเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจไทยตามนโยบาย Thailand 4.0 นอกจากนี้ ยังส่งผลให้เกิดการจ้างงานในช่วงก่อสร้างมากถึง 16,000 อัตรา
และการจ้างงานในธุรกิจเกี่ยวเนื่องมากกว่า 100,000 อัตรา ใน 5 ปีข้างหน้า รวมทั้งเปิดโอกาสให้คนไทยได้เรียนรู้วิธีการทำงานในโครงการด้วยเทคโนโลยีสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาสู่การเป็นบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง และมีศักยภาพสูงเพียงพอที่จะสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้
นายคณิศกล่าวว่า เป็นความยินดีหลังจากทำงานในโครงการนี้มา 22 เดือน ต่อจากนี้ความสัมพันธ์ของรัฐและเอกชนจะเป็นไปในทางพาร์ทเนอร์ร่วมกัน ส่วนการเปิดเผยร่างสัญญาต้องรอฝ่ายกฎหมายของอีอีซีเป็นผู้เปิดเผยก่อน
ขณะที่การจ่ายเงินอุดหนุนโครงการ 117,227 ล้านบาท กระบวนการเดิมคือต้องสร้างเสร็จก่อน แล้วรัฐตรวจสอบจึงจะเริ่มจ่ายเงินส่วนนี้เมื่อเปิดเดินรถ แต่โครงการแบ่งเป็นท่อนๆ ใน RFP ไม่ได้ยึดติดว่าต้องทำเสร็จทั้งช่วง จึงจะจ่ายเงิน แต่ถ้าช่วงใดที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และสามารถเปิดเดินรถได้ก่อนก็จะทยอยจ่ายอุดหนุนเฉพาะส่วนนั้นๆ ไปก่อน
ส่วนการส่งมอบพื้นที่ของโครงการ ในส่วนของการพัฒนา TOD มักกะสัน และศรีราชา จะส่งหนังสือเริ่มดำเนินการ (NTP : Notice to Proceed) ได้ ก็เมื่อมีการส่งมอบหนังสือ NTP ให้เริ่มการก่อสร้าง เมื่อส่งมอบ NTP ก่อสร้างจึงจะออก NTP พัฒนา TOD ทั้งนี้ การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง สาระสำคัญมี 2 เรื่อง คือ 1.การเคลียร์ผู้บุกรุก ซึ่ง ร.ฟ.ท.จะเป็นผู้จัดการ ส่วนเอกชนจะต้องเคลียร์ซากปรักหักพังต่างๆ และ 2.การเคลียร์พื้นที่ใต้ดินหรือระบบสาธารณูปโภค เอกชนต้องออกแบบให้เห็นแนวเส้นทางก่อน จากนั้นจึงจะเชิญหน่วยงานเจ้าของระบบสาธารณูปโภคทั้ง 8 หน่วยมาคุยกันว่าจะออกแบบอย่างไร ต้องหลบไหมหรือขยับอะไร ซึ่งหน้าที่การรื้อย้ายต่างๆ เป็นหน้าที่ของหน่วยงานเจ้าของระบบนั้นๆ เป็นผู้ดำเนินการ
ขอขอบคุณแหล่งที่มา
https://www.prachachat.net/property/news-384033
https://www.isranews.org/isranews-news/81815-high-speed.html