ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ หรือ National Security and Dual-Use Technology Center (NSD) อาจเป็นชื่อที่ยังไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นศูนย์น้องใหม่ที่เพิ่งตั้งขึ้นมา ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ศูนย์ NSD เปิดขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อน New S-Curve ที่ 11 หรือ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 พร้อมกับ 5 นวัตกรรมนำร่องสุดล้ำด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของศูนย์ว่า ความมั่นคงของประเทศ ถูกกำหนดให้เป็นประเด็นสำคัญหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) โดยมีเป้าหมายสำคัญในเรื่องการสร้างความมั่นคงปลอดภัยพร้อมรับมือภัยพิบัติและภัยคุกคามในทุกรูปแบบ
อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบายผลักดันให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็น S-Curve ตัวที่ 11 โดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รับผิดชอบในการส่งเสริมและวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีสองทาง (Dual-Use) คือสามารถใช้งานได้ทั้งภารกิจด้านความมั่นคงและภาคพลเรือนทั่วไป
ดังนั้น สวทช. จึงได้จัดตั้งศูนย์ NSD ขึ้นในปี 2562 เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความมั่นคงของประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติฯที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรับมือจากภัยความไม่สงบและอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงและเสถียรภาพแหล่งจ่ายพลังงานและเทคโนโลยีเพื่อการรับมือภัยพิบัติ เพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยกับสังคม พร้อมตอบกลยุทธ์สร้างเครือข่ายนักวิจัย นักวิชาการ และกลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นผู้ผลิต ผู้ให้บริการ และผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง
“ในการส่งเสริม S-Curve ใหม่ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง สวทช. โดย ศูนย์ NSD จะทำหน้าที่สนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาให้เป็นรูปธรรมในการผลักดันและขับเคลื่อนให้เกิด S-Curve ใหม่ที่ 11 ซึ่งจะเน้นเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (Defense) ในเรื่องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสองทางซึ่งคาดว่าจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพและขนาดใหญ่มากในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ที่ใช้ปกป้องชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทั้งจากภัยคุกคามทางธรรมชาติ ภัยจากโจร ตัวอย่างเทคโนโลยีสองทางในอุตสาหกรรมด้านการป้องกันและความมั่นคง เช่น ระบบเซนเซอร์ตรวจวิเคราะห์ภัยคุกคามต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีสองทางเหล่านี้ ประเทศไทยล้วนต้องสร้างความเข้มแข็งในการวิจัยและพัฒนาขึ้นมาเองให้ได้ เพื่อทดแทนการพึ่งพาหรือซื้อจากต่างประเทศอย่างที่ผ่านมา นับเป็นบทบาทสำคัญที่ สวทช. จะสนับสนุนและขับเคลื่อน S-Curve ใหม่ที่ 11 ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม” ดร.ศิวรักษ์ กล่าว
ล่าสุด ศูนย์ NSD สวทช. ได้นำนวัตกรรมจำนวน 5 ผลงานจัดแสดงในงาน Defense & Security 2019 ระหว่างวันที่ 18-21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ประกอบด้วย
1. ระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Anti-Drone System) เพื่อใช้ในการป้องกันโดรนที่บินเข้าไปสอดแนมหรือบุกรุกพื้นที่สำคัญ ซึ่งตัวโดรนแจมเมอร์ (Drone Jammer) จะเข้าไปรบกวนอุปกรณ์การบินของโดรนทำให้ไม่สามารถบินโดรนได้
ระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Anti-drone system)
2. QFace: Facial recognition access control เป็นระบบการจดจำใบหน้าของมนุษย์โดยอัตโนมัติเพื่อการเข้าพื้นที่ควบคุม ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี AI ที่สร้างความเชื่อมั่นและมั่นคงให้กับประเทศ
QFace: Facial recognition access control
เทคโนโลยี Ai – ระบบรู้จำหน้า ป้ายทะเบียนรถ
3. Graphene-Based Supercapacitor and Battery คือแบตเตอรี่ปลอดภัยปัจจุบันมีข่าวเรื่องแบตเตอรี่ระเบิดทางศูนย์ฯกำลังวิจัยพัฒนาแบตเตอรี่ที่ไม่ระเบิดร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการพัฒนาแบตเตอรี่ไออนสังกะสีแบบอัดประจุซ้ำได้มีสมรรถนะต่อต้นทุนและวงรอบการใช้งานสูง
เทคโนโลยีกราฟีนกับการป้องกันประเทศ ของศูนย์ NSD สวทช.
Graphene-Based Supercapacitor and Battery
4. Electrostatic Air Purifier for PM2.5 เป็นนวัตกรรมป้องกันและบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เป็นระบบการกรองอากาศด้วยเทคโนโลยีไฟฟ้าสถิต สามารถสร้างอากาศบริสุทธิ์ได้ในปริมาณมาก อีกทั้งแผ่นกรองที่ใช้ในการดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ยังสามารถนำมาล้างทำความสะอาดได้ไม่ต้องเปลี่ยนแผ่นกรองเป็นสิ่งที่มาช่วยในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมการรับมือภัยพิบัติของฝุ่นละออง
5. e-Nose และ sense-Nose ตรวจสารเสพติด ซึ่งเป็นจมูกอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือตรวจวัดและจำแนกกลิ่นได้ รวมไปถึงนวัตกรรมเครื่องตรวจสารเสพติดในปัสสาวะขนาดพกพา ราคาถูก เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
e-Nose และ sense-Nose ตรวจสารเสพติด
แค่ 5 ผลงานนวัตกรรมนำร่องก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆๆๆ
ขอขอบคุณแหล่งที่มา:
https://www.salika.co/2019/12/01/s-curve-number-11-national-defense-innovation/